กรุงเทพฯ 24 ม.ค.-สรท.ประเมินผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจะทำให้กระทบภาพรวมส่งออกไทยในช่วงไตรมาส 1 ปี 66 แน่ ร้องขอ ธปท. ร่วมแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจและการส่งออกไทยปีนี้แย่ลง
ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)แจ้งว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการสรท. ได้ประเมินปัญหาการดำเนินธุรกิจจากสมาชิกซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ผลิตเพื่อส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรและกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนสูง อาทิ กลุ่มสินค้าผักและผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง กระป๋องและแปรรูป ซึ่งสามารถส่งออกเติบโตในปี 2564 ซึ่งค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่มูลค่าส่งออกกลับมาหดตัวในไตรมาส 3-4 ของปี 2565 และต่อเนื่องไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าโดยการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลต่อการกำหนดราคาและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยเมื่อเปรียบเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งในประเทศที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทย ทั้งการทำสัญญาซื้อขายในปัจจุบันและตลอดปี 2566 ดังนั้น หากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนสูงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการสรท. จึงได้พิจารณาข้อเสนอแนะแนวทางบรรเทาปัญหาและช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกไทยและนำเรียนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1. ขอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา “ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ออกไป เนื่องจาก1.1) จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ประกอบการทั้งซัพพลายเชน1.2) เป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น วัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
2. ขอให้ ธปท. ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นเพื่อ “รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทในระดับ 34-35 บาท/เหรียญสหรัฐฯ” หรือ “ที่ไม่แข็งค่าไปกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ”
3. ขอให้ ธปท. “กำหนดมาตรการและเครื่องมือในการตรวจสอบ ติดตาม กระแสเงินไหลเข้าประเทศอย่างรวดเร็ว” รวมถึงขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินให้ติดตามข้อมูลการโอนเงินบาทระหว่างบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ(Non-resident Baht Account) จากสัญญาณของธุรกรรมการเงินต่างประเทศที่เริ่มมีความหนาแน่นกว่าปกติ
4. ขอให้ ธปท. และธนาคารพาณิชย์ พิจารณา “อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging)” อาทิ 5.1) จัดสรรหรือขยายวงเงินสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในรูปแบบของ Forward และ Option ให้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวน 5.2) ขยายระยะเวลาในการทำประกันความเสี่ยง ทั้งในรูปแบบของ Forward และ Option ให้เหมาะสม 5.3) ออกแคมเปญช่วยเหลือและดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง อาทิ โครงการบริหารความเสี่ยง FX (Option ประกันค่าเงิน) สำหรับ SMEs เป็นต้น
5. ขอให้ ธปท. ร่วมกับ สรท. “จัดกิจกรรมให้ความรู้ในทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการและเครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาท” โดยสรท.พร้อมร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะข้างต้น เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกและนำพาให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงได้ต่อไป.-สำนักข่าวไทย