ระยอง 23 ม.ค.-รมช.คลัง สั่งเร่งตรวจสอบ “อีสต์วอเตอร์” เดินท่อส่งน้ำไม่เป็นไปตามสัญญา หวั่นทำรัฐเสียหาย เผยมูลค่าผลตอบแทนต่างกันถึง 7 เท่า ลั่นตามทวงเงินคืนหากผิดกฎหมาย
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเดินทางมาตรวจสอบความพร้อมการส่งมอบกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ของกรมธนารักษ์ ในพื้นที่โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี โดยระบุว่า จากการตรวจสอบสถานีและท่อส่งน้ำต่างๆ พบความผิดปกติของแนวท่อส่งน้ำ ที่บริษัท อีสต์วอเตอร์ ทำสัญญา จ่ายผลตอบแทนค่าน้ำเข้ารัฐไม่ตรงกับที่ระบุในสัญญา โดยเป็นท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ 3 จุด และท่อส่งน้ำขนาดเล็ก 9 จุด
เบื้องต้นพบว่า ท่อส่งน้ำที่ 1 ซึ่งมีอัตราจ่ายผลตอบแทนเข้ารัฐ 1% และท่อส่งน้ำที่ 3 ที่ต้องจ่ายผลตอบแทนเข้ารัฐ 7% ตามแต่ละสัญญา มีการเดินท่อมารวมกันแบบผิดปกติ ก่อนเข้ามิเตอร์วัดเพื่อคำนวณผลตอบแทนให้รัฐ ซึ่งจะต้องให้กรมธนารักษ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีอัตราจ่ายผลตอบแทนเข้ารัฐเท่าใด ทำให้รัฐเสียหายหรือมีการทุจริตหรือไม่ เนื่องจากอัตราการจ่ายผลตอบแทนต่างกันถึง 7 เท่า
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า จุดเชื่อมต่อท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ บริเวณถนนแหลมทอง ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ 1 ใน 3 จุด ที่กรมธนารักษ์ตรวจพบว่า บริษัท อีสต์วอเตอร์ มีการเชื่อมต่อไว้ ไม่ตรงในสัญญา และเพิ่งจะยกเลิกการเชื่อมต่อเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจพบ ก่อนแจ้งความดำเนินคดีไว้ตั้งแต่ปี 2565 ขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ ขณะที่ดีเอสไอกำลังรวบรวมหลักฐานเสนอคณะกรรมการฯ รับเป็นคดีพิเศษหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การตรวจสอบทรัพย์สินของกรมธนารักษ์ในครั้งนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านให้บริษัทเอกชนรายใหม่ดำเนินการตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งต้องทำให้เกิดความรอบคอบ และประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่หากพบมีการทุจริตจริง ยืนยันว่าจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่าเงินของรัฐที่อาจจะสูญหายไป จะต้องถูกติดตามทวงถามกลับคืนมาอย่างแน่นอน
นายเชิดชาย ปิติวัชรากุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีสท์วอเตอร์ กล่าวว่า เมื่อกรมธนารักษ์ประสงค์ที่จะตัดแยกระบบท่อส่งน้ำของกระทรวงการคลัง และของบริษัทฯ เพื่อแยกดำเนินการและบริหารงานออกจากกัน บริษัทฯ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกมากว่า 30 ปี จึงมองเห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อย่างชัดเจนว่าผู้ใช้น้ำจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการส่งน้ำและผันน้ำลดลงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขและปรับปรุง และผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำนี้ ก็มิได้มีแค่เพียงผู้ใช้น้ำตามแนวเส้นทางท่อส่งน้ำของกระทรวงการคลังเท่านั้น แต่ยังมีผู้ใช้น้ำตามแนวเส้นทางท่อส่งน้ำของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน
สำหรับเหตุผลที่การกำหนดแนวทางขั้นตอนการส่งมอบ-รับมอบทรัพย์สิน ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ทับซ้อนด้วย ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าบริษัทฯ จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี และตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ลงทุนก่อสร้างท่อส่งน้ำของตนเองในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นการเพิ่มเติมและมีการเชื่อมต่อกับท่อส่งน้ำของกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสูบส่งและจ่ายน้ำ รวมทั้งการผันน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ของระบบท่อส่งน้ำเพิ่มเติม ซึ่งการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำของบริษัทฯ นั้น บางส่วนมีการใช้พื้นที่ราชพัสดุ เมื่อต้องมีการตัดแยกระบบท่อส่งน้ำออกจากกันเป็น 2 ส่วน จึงทำให้ยังคงมีทรัพย์สินของบริษัทฯ บางส่วนอยู่ในพื้นที่ราชพัสดุดังกล่าว
เป็นกรณีที่ทั้งบริษัทฯ และกรมธนารักษ์จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว เพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะของบริษัทฯ ด้านการบริหารจัดการท่อส่งน้ำในภาคตะวันออกสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้ต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอุปสรรคและผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ และเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2539 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงกระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ ให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่บริษัทฯ ในการขอรับการอนุมัติและการทำสัญญาต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ด้วย อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วพบว่ามีทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำทั้งสองที่บริษัทฯ ได้รับมอบจากกรมธนารักษ์เมื่อปี 2540 และปี 2541 ซึ่งมิได้ใช้งานสามารถส่งคืนในกรณีที่กรมธนารักษ์มีความประสงค์ให้ส่งมอบคืนบางส่วนได้ต่อไป ส่วนทรัพย์สินอื่นของโครงการท่อส่งน้ำทั้งสองนั้น บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับกรมธนารักษ์ในการกำหนดขั้นตอนแนวทางการส่งมอบ-รับมอบทรัพย์สิน โดยมีหลักการและวัตถุประสงค์ไม่สร้างปัญหาอุปสรรคและไม่เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำ ดังที่คณะกรรมการที่ราชพัสดุได้มีมติให้กรมธนารักษ์ดำเนินการ และเป็นไปตามหลักกฎหมายในเรื่องการจัดทำบริการสาธารณะที่ต้องมีความต่อเนื่องต่อไป
ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลปกครองพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกรมธนารักษ์แจ้งให้บริษัทฯ ส่งมอบทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) ไว้แล้ว และบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิใดๆ ตามกฎหมายในการเป็นผู้มีสิทธิใช้และบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกตามนิติสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับกระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ รวมทั้งสิทธิของบริษัทฯ ในการดำเนินคดีต่างๆ ในศาลปกครองกับคณะกรรมการคัดเลือกเอกชน กรมธนารักษ์ และคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด รวมทั้งสิทธิประการอื่นใดตามกฎหมาย ตลอดจนสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายทุกประการที่เกิดขึ้นหรือน่าจะเกิดขึ้นต่อไปด้วย .-สำนักข่าวไทย