อุบลราชธานี 27 พ.ย.- รัฐมนตรีพาณิชย์ใช้เวทีสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ระบุยังมีความเป็นห่วงสงครามรัสเซียและยูเครนจะกลายเป็นสงครามคู่ใหม่รัสเซียและยุโรป แนะทุกฝ่ายร่วมมือทุกด้านอย่างจริงจัง เพื่อช่วยกันขยายช่องทางการค้าในทุกมิติสู่ตลาดโลก แม้จะเจอหลายประเทศใช้มาตรการกีดกันทางการค้าก็ตาม เชื่อการประชุมเอเปคที่ผ่านมา ไทยมีโอกาสขยายตลาดทั้งจีนและซาอุฯเพิ่มขึ้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในรูปแบบออนไลน์ เรื่อง “Enhancing Trade Facilitation for Thailand Competitiveness : เปิดการค้าไทย มิติใหม่สู่สากล ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ที่จังหวัดอุบลราชธานี ว่า แม้ปัญหาโควิดจะเบาบางลง แต่โควิดยังคงมีอยู่และไม่รู้จบจริงเมื่อไหร่ รวมทั้งสงครามรัสเซียและยูเครนที่มองว่าอาจจะเกิดความร้อนแรงไปสู่คู่ใหม่รัสเซีย-ยุโรป ที่จะเกิดวิกฤติอาหาร-พลังงาน และคงต้องจับตาสหรัฐ-จีนด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกในปีหน้า
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นห่วงคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปี 64 เศรษฐกิจโลก +6% แต่ปีนี้แนวโน้มจะเหลือแค่ 3.2% และปีหน้าจะเหลือแค่ 2.7% โดยสะท้อนให้เห็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกลดลง อาจกระทบตัวเลขทั้งการลงทุน การค้า การส่งออกและการท่องเที่ยว ดังนั้นภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันทุกด้านอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
“ไทยคงสั่งให้ 2 ประเทศหยุดทำสงครามไม่ได้ ต้องเผชิญหน้ากับมัน แต่อะไรที่เป็นปัจจัยที่เราควบคุมได้ ต้องเร่งทำ โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออก ตนมอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับกระทรวงพาณิชย์ทุกหน่วยงาน เร่งหารือกับภาคเอกชนเพราะตนมั่นใจว่าการทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่ายอย่างใกล้ชิดคือพลังสำคัญ ช่วยให้เราฝ่าปัญหาและความท้าทายทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นนี้ไปได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำตัวเลขการส่งออกให้เติบโตต่อไปได้อย่างไร มีอะไรบ้างที่ทำได้ในเวลาที่รวดเร็วมาช่วยกันทำ ตลาดไหนที่มีศักยภาพที่เราสามารถบุกได้ ตนพร้อมร่วมมือกับพวกเราทุกคนเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน มีโอกาสร่วมเปิดตลาดทำตัวเลขการส่งออกให้ประสบความสำเร็จต่อไปเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างเงินให้กับประเทศของเราให้ประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต” นายจุรินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีหน้าอุปสรรคในด้านต่างๆ ยังมีอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามหรือการกีดกันทางการค้าจะมีรูปแบบใหม่เข้ามามากขึ้นในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษีและไม่ใช่ประเด็นเดิมๆ จึงเป็นสิ่งภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมรับมือ และในการประชุมเอเปค 2022 ที่ผ่านมา มีสัญญาณที่ดีหลายเรื่องในหลายประเด็น เช่น เห็นพ้องว่าควรใช้เวทีพหุภาคีเป็นเวทีขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าการลงทุนในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อไม่ให้ประเทศเล็กเสียเปรียบประเทศใหญ่ และเอเปคยอมรับการขับเคลื่อน BCG Model หน้ายอมรับธีม Open. Connect. Balance. ของประเทศไทย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอี ที่ประชุมเอเปคพูดถึงเรื่องนี้ รวมทั้งถือว่าไทยยังมีโอกาสขยายตลาดทั้งตลาดจีนและตลาดซาอุฯ ที่ทั้ง 2 ประเทศเปิดโอกาสให้ไทยขยายช่องทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพิ่มมากยิ่งขึ้น จะทำให้สินค้าไทยส่งออกไปทำตลาดเพิ่มขึ้นได้แน่นอน.-สำนักข่าวไทย