นนทบุรี 30 ก.ย.- รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์แจ้งข่าวดี “ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน”จดทะเบียน GI ที่เวียดนามได้แล้วคาดช่วยกระตุ้นการส่งออก เพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชน สร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นอย่างยั่งยืนพร้อมเป็น Soft Power สำคัญที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงและคุณภาพผลไม้ไทยสู่สายตาชาวต่างชาติ
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากแนวทางสนับสนุนช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนผลักดันการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากใช้ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รวมทั้งส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า ซึ่งนำสินค้า GI ไทยที่มีศักยภาพไปจดทะเบียน GI ในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดส่งออกสำคัญ เพื่อให้สินค้า GI ไทยได้รับการคุ้มครองในตลาดแข่งขันทางการค้า สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ซึ่งล่าสุดประเทศเวียดนามได้ประกาศรับจดทะเบียน GI ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูนของไทย ส่งผลให้ปัจจุบันไทยจดทะเบียน GI ในเวียดนามแล้ว 3 สินค้า”ด้วยกัน
ทั้งนี้ ลักษณะเด่นของลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน มีสีเหลืองทอง เนื้อหนา แห้งสนิทไม่ติดกัน รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ สามารถเก็บไว้ได้นานโดยกลิ่นและรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวเวียดนาม มีตลาดส่งออกที่สำคัญ อาทิ เวียดนาม จีน ฮ่องกง เป็นต้น นับเป็นสินค้าGI ไทยลำดับที่ 8 ที่ได้รับการจดทะเบียน GI ในต่างประเทศ ต่อจาก (1) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ในสหภาพยุโรป(2) กาแฟดอยช้าง ในสหภาพยุโรป (3) กาแฟดอยตุง ในสหภาพยุโรปและกัมพูชา (4) ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ในสหภาพยุโรป (5) เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน ในเวียดนาม (6) ผ้าไหมยกดอกลำพูน ในอินเดียและอินโดนีเซีย และ(7) มะขามหวานเพชรบูรณ์ ในเวียดนาม”
อย่างไรก็ตาม “ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูนเป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้จังหวัดลำพูนมากว่า 100 ปี โดยหลังจากขึ้นทะเบียน GI แล้วสินค้าดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ด้วยกระบวนการผลิตและระบบควบคุมคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐาน ทำให้สามารถจำหน่ายได้ในราคาดี จากเดิมที่เคยจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 550 บาท เพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 1,500 บาท อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่ใช้ในงานประเพณีต่างๆ ของชาวลำพูน ลำไยจึงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกวิถีชีวิตความเป็นอยู่เคียงคู่คนลำพูนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ การที่สินค้า GI ไทยได้รับการจดทะเบียน GI ในเวียดนาม ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ทำให้ผู้บริโภคต่างชาติมั่นใจในคุณภาพสินค้า ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาพร้อมผลักดันการจดทะเบียนสินค้า GI ไทยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารและสินค้าเกษตร ซึ่งเป็น Soft Power สำคัญที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ สามารถสร้างงาน สร้างรายได้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนต่อไป.-สำนักข่าวไทย