กรุงเทพฯ 26 ก.ย.- กกพ.เตรียมรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน ยื่นคำเสนอขาย พ.ย. -ธ.ค.65 รวม 5,200 เมกะวัตต์ พร้อมทำแผนต่อยอด Green Tariff ในภาคอุตสาหกรรม
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 31 ส.ค.65 มีมติเห็นชอบให้ออกระเบียบว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 65-73 สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าประเภทไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.65 เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.65 เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emission) ซึ่งระเบียบดังกล่าวกำลังอยู่ในขั้นตอนเสนอประกาศในราชกิจจานุเบกษาฯ และมีผลบังคับใช้ต่อไป และ กกพ. จะออกประกาศรับซื้อต่อไป
ระเบียบดังกล่าวจะเปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงตามมติ กพช. ได้แก่ ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) หรือผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ในรูปแบบสัญญา Non-Firm ที่ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย ไม่เกิน 90 เมกกะวัตต์ และโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) จากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในรูปแบบสัญญา Partial-Firm ที่ปริมาณเสนอขายมากกว่า 10 เมกกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 90 เมกกะวัตต์ รวมปริมาณ 5,200 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าจะเข้าระบบ ตั้งแต่ปี 2567-2573 ตาม มติ กพช.
สำหรับกำหนดการเบื้องต้นของโครงการดังกล่าวมีดังนี้
1. ตรวจสอบจุดเชื่อมโยง ต.ค. 65
2. ยื่นคำเสนอขายไฟฟ้า พ.ย. -ธ.ค.65
3. ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติ ม.ค. 66
4. ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือก พ.ค. – มิ.ย. 66
5. กำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ปี 67-73
นายคมกฤช กล่าวด้วยว่า กกพ. ยังต่อยอดโดยนำพลังงานไฟฟ้าสีเขียวที่จะผลิตได้จากโครงการดังกล่าว มารวมขายในอัตราไฟฟ้าสีเขียว (Green Tariff) ให้กับ ภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการที่จะใช้ไฟฟ้าสีเขียวเพื่อประโยชน์ในการส่งออกสินค้าที่ต้องพิสูจน์ Carbon Tracking จากพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตสินค้า โดย Green Tariff จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถมีพลังงานสีเขียวไว้ใช้ได้อย่างต่อเนื่อง มั่นคง เพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และยังลดความยุ่งยากที่จะต้องผลิตพลังงานสีเขียวไว้ใช้เองอีกด้วย. -สำนักข่าวไทย