กรุงเทพฯ 21 มี.ค.- GISDA รายงานผลการตรวจวัด PM2.5 เช้านี้พบ 17 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพหรืออยู่ในระดับสีส้ม โดยกทม. สีส้มทุกเขต ด้านกรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ 7 วันข้างหน้า การสะสมของฝุ่นมีแนวโน้มลดลง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กรมควบคุมมลพิษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมง ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” เมื่อเวลา 08.00 น. ของวันที่ 21 มีนาคม 2567 พบ 17 จังหวัดของประเทศ มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีส้ม ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพได้แก่ กรุงเทพมหานครสมุทรสาคร ระยอง ชลบุรี สมุทรสงคราม นนทบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี นครปฐม จันทบุรี ตราด
สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครเช้าวันนี้ พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพทั่วทุกเขตพื้นที่ โดย 5 อันดับแรกคือ ป้อมปราบศัตรูพ่าย 69.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ลาดพร้าว 68.8 ไมโครกรัม/ลบ.ม. จอมทอง 68.4 ไมโครกรัม/ลบ.ม. บางพลัด 68.4 ไมโครกรัม/ลบ.ม. วัฒนา 68.4 ไมโครกรัม/ลบ.ม.
แอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พบว่า หลายพื้นที่จะมีค่าคุณภาพอากาศที่ยังคงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือตนอบน ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละออง 7วันข้างหน้าระหว่างวันที่ 22 – 28 มีนาคม 2567 ดังนี้
- 17 จังหวัดภาคเหนือมีแนวโน้มลดลงวันที่ 22-28 มีนาคม 2567 แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในบางพื้นที่กทม. และปริมณฑลมีแนวโน้มลดลงวันที่ 23-28 มีนาคม 2567 แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในบางพื้นที่
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มลดลงระหว่างวันที่ 25-28 มีนาคม 2567
- ภาคตะวันออกดีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังระบางพื้นที่
- ภาคใต้ดีอย่างต่อเนื่อง
GISDA รายงานสถานการณ์จุดความร้อน (Hot Spot) รายวันของประเทศไทยช่วงต้นเดือนมีนาคมซึ่งอ้างอิงจากระบบแสดงผลข้อมูลจุดความร้อนจากระบบ NASA FIRMS และ GISTDA แบบอัตโนมัติพบว่า ปริมาณจุดความร้อนยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ด้วยจำนวนจุดความร้อนรวมทั่วประเทศมากกว่า 1,000 จุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยครึ่งหนึ่งเป็นจุดความร้อนที่ตรวจพบในพื้นที่ภาคเหนือ
ในขณะเดียวกันสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2567 อ้างอิงจากแอปพลิเคชันเช็คฝุ่นพบว่า หลายจังหวัดยังอยู่ในโซนสีส้มถึงสีแดงหรืออยู่ในระดับมีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ
สำหรับปัจจัยที่ที่ทำให้สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2567 ในภาคเหนืออยู่ในเกณฑ์สีส้มถึงสีแดงพบว่า สอดคล้องกับปัจจัยของจุดความร้อนและสภาพอากาศท้องถิ่นที่การระบายลมต่ำ
GISDA ประมวบข้อมูลภูมิสารสนเทศจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี โดยพิจารณาค่าเฉลี่ยจำนวนจุดความร้อนและค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านพบว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์นั้น พื้นที่ที่เกิดจุดความร้อนเฉลี่ยสูงสุดคือ ทางตอนเหนือของประเทศกัมพูชา แต่พื้นที่ที่พบว่า พื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเฉลี่ยสูงสุดคือ พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย
ในช่วงเดือนถัดมาคือเดือนมีนาคมถึงเมษายน พื้นที่เกิดจุดความร้อนเฉลี่ยสูงสุดคือ ทางตอนเหนือของประเทศลาว ขณะเดียวกันพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเฉลี่ยสูงสุดกลับครอบคลุมทั้งภาคเหนือของประเทศลาว และภาคเหนือ ภาคกลาง บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
จากลักษณะดังกล่าวประเมินได้ว่า กระแสลมเป็นสาเหตุหลักในการพัดพาฝุ่นละอองกระจายไปยังพื้นที่ข้างเคียง ด้วยปัจจัยทางสภาพอากาศทั้งสภาพอากาศปิดไม่ระบายและความแห้งแล้งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศไทยยังต้องเผชิญปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไปอีกสักระยะ
สำหรับการจัดการกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก นอกจากจะต้องให้ความสำคัญกับจุดความร้อนหรือพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่แล้ว ยังต้องติดตามพื้นที่ข้างเคียงหรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด เพื่อความเข้าใจภาพรวมสาเหตุของปัญหาและนำมาซึ่งมาตราการการแก้ไขที่ตรงจุด
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ไทยกับกัมพูชามีแนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างกัน โดยนายจตุพรเป็นประธานฝ่ายไทยในการหารือกับฝ่ายกัมพูชาเมื่อต้นเดือนมีนาคม โดยหน่วยงานของไทยที่ร่วมหารือประกอบด้วย กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมเอเซียตะวันออก
ทั้งนี้สถานการณ์หมอกควันข้ามแดนระหว่างไทยและกัมพูชาจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม – เมษายนของทุกปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องการประสานงานกับกัมพูชาอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ด้วยตระหนักถึงการดูแลและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งสองประเทศ
สำหรับผลการประชุมหารือข้อสรุปถึงแนวทางที่จะดำเนินการร่วมกันดังนี้
(1) กำหนดการประสานงานผ่าน Hotline ระหว่าง 2 ประเทศ เป็น 2 ระดับคือ ระดับกระทรวงและระดับกรม
(2) การเข้าร่วมแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสของกัมพูชาและการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมด้านอื่นเพิ่มเติมระหว่างไทย – กัมพูชา
(3) กำหนดการจัดฝึกอบรมเรื่องการจัดการคุณภาพอากาศให้กับเจ้าหน้าที่กัมพูชาในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ประเทศไทย
(4) จัดการประชุมคณะทำงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างไทย – กัมพูชาในเดือนเมษายนคราวเดียวกัน.- 512 – สำนักข่าวไทย
