กรุงเทพฯ 21 มิ.ย. – อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรย้ำ สำนักงานเกษตรอำเภอ/จังหวัดออกให้คำแนะนำเกษตรกรวางแผนเพาะปลูกเพื่อลดผลกระทบจากฝนทิ้งช่วงและสภาวะเอลนีโญที่อาจส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งยาวนานถึงต้นปีหน้า โดยช่วงที่ฝนตกให้กักเก็บสำรองน้ำไว้ใช้และปลูกพืชอายุสั้น
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวว่า สั่งการให้สำนักงานเกษตรอำเภอ/จังหวัดออกให้คำแนะเกษตรกรวางแผนรับมือฝนทิ้งช่วงและสภาวะเอลนีโญตามที่ที่ประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติคาดการณ์ว่า สภาวะเอลนีโญจะทำให้ปริมาณฝนปี 2566 น้อยกว่าค่าปกติร้อยละ 5 และฝนทิ้งช่วงถึงกลางเดือนกรกฎาคม
ทั้งนี้สภาวะเอลนีโญจะต่อเนื่องถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นและหลายจังหวัดอาจประสบกับปัญหาภัยแล้ง กระทบต่อปริมาณน้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงน้ำเพื่อการเกษตรได้ ซึ่งที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำและฝนทิ้งช่วงอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ทั้งด้านการเกษตรและด้านอุปโภคบริโภคเพื่อผลิตน้ำประปา รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนป้องกันและช่วยเหลือประชาชนคู่ขนานไปกับการสร้างการรับรู้ให้กับเครือข่ายภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นายเข้มแข็งกล่าวว่า ขอให้เกษตรกรที่จะเพาะปลูกพืชในช่วงเข้าสู่ฤดูฝน โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน วางแผนกักเก็บสำรองน้ำไว้ใช้ในเวลาที่ฝนทิ้งช่วง หรือเลือกปลูกพืชอายุสั้น/พืชผัก เช่น ผังบุ้ง ตำลึง กะหล่ำปลี คะน้า ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเพาะปลูกประมาณ 25-40 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เพื่อป้องกันผลผลิตเสียหายกรณีขาดแคลนน้ำในช่วงดังกล่าว โดยมีข้อควรคำนึงคือในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง เกษตรกรจำเป็นต้องให้น้ำแก่พืชผักอย่างเพียงพอ สม่ำเสมอเพราะหากขาดน้ำจะทำให้พืชผักโดยเฉพาะพืชผักรับประทานผล จะได้รับความเสียหายหรือผลแตกเมื่อฝนตกลงมาอีกครั้ง
พร้อมกันนี้ยังแนะนำเพิ่มเติมว่า เกษตรกรอาจสร้างแหล่งกักเก็บสำรองน้ำเพื่อรองรับฝนที่จะตกชุกหนาแน่นช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายนตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า อาจมีพายุเข้า 1-2 ลูก เพื่อให้มีเพียงพอใช้สำหรับเพาะปลูกตลอดฤดูแล้ง 2566/2567
สำหรับคำแนะนำวิธีการปลูกและดูแลรักษาพืชผักช่วงฤดูฝนมีดังนี้
1) การเตรียมเมล็ดพันธุ์ ควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่ติดมากับเมล็ด
2) ยกแปลงให้สูงไม่ต่ำกว่า 30 เซ็นติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้รากพืชขาดอากาศเนื่องจากแช่ในน้ำนาน
3) เพิ่มปริมาณปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก เพื่อเพิ่มช่องว่างในดิน
4) ใส่ปูนขาว 100-200 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อลดความเป็นกรดของดิน
5) รดกล้าผักด้วยน้ำปูนใส สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
6) หมั่นกำจัดวัชพืช
7) ใช้วัสดุคลุมแปลง ป้องกันความเสียหายของผิวหน้าดินและระบบรากพืชที่เกิดจากเม็ดฝน
ขอเน้นให้เกษตรกรติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง หรือสามารถขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ได้ ณ สำนักงานเกษตรอำเภอและสำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน.-สำนักข่าวไทย