กรุงเทพฯ 6 ก.พ. – อธิบดีกรมฝนหลวงเผย ขยายระยะเวลาปฏิบัติฝนหลวงถึงวันที่ 12 ก.พ. โดยปฏิบัติการในภาคเหนือและภาคตะวันออกได้ผลสัมฤทธิ์ตามแผน มีฝนตกส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ำเฝ้าระวังต่อเนื่องตลอดฤดูแล้ง
นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม รักษาการอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเปิดเผยว่า ได้ขยายเวลาการปฏิบัติการฝนหลวงออกไปจนถึงวันที่ 12 ก.พ. ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมกันเร่งคลี่คลายสถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ซึ่งก่อนหน้านี้มีปริมาณเกินค่ามาตรฐานในหลายจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือและกรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยกรมฝนหลวงได้จัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วเพื่อทำฝนตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. เป็นต้นมา
ทั้งนี้ได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว 2 แห่งได้แก่ หน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วจังหวัดเชียงใหม่ที่สนามบินกองบิน 41 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่และหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วจังหวัดระยองที่สนามบินอู่ตะเภาอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง
สำหรับผลการปฏิบัติงานที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วจังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นบินปฏิบัติภารกิจทำฝนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยเครื่องบิน CASA 2 ลำ รวม 8 เที่ยวบิน รวม 14:50 ชั่วโมงบิน บริเวณพื้นที่ดอยสุเทพอ.เมือง อ.อมก๋อย อ.สะเมิง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ดอยพระบาท ดอยจระเข้ อ.แม่จัน จ.เชียงราย อ.เมืองปาน จ.ลำปางจ.ลำพูน และรอยต่อ อ.สามเงา จ.ตาก ทำให้มีฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลางบริเวณพื้นที่ป่าไม้ อ.แม่ริม อ.สะเมิงอ.อมก๋อย อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ อ.ศรีเสริมงาม จ.ลำปาง และ อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน
ส่วนหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว จ.ระยอง ขึ้นบินปฏิบัติภารกิจทำฝนบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเครื่องบิน CARAVAN 2 ลำ รวม 8 เที่ยวบิน รวมเวลา 12:50 ชั่วโมงบิน บริเวณพื้นที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี อ.ราชสาส์น อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้มีฝนตกเล็กน้อยบริเวณอ.บ้านบึง จ.ชลบุรี อ.พนมสารคาม อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา และ เขตหนองจอก เขตมีนบุรี เขตคลองสามวากรุงเทพฯ
ทั้งนี้การปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่กรุงเทพฯ มีข้อจำกัดทางการบิน ทำให้สามารถปฏิบัติการได้เพียง 2 ขั้นตอนตามตำราฝนหลวงพระราชทานคือ ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวนหรือก่อเมฆ เป็นการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อกระตุ้นให้เกิดเมฆ และขั้นตอนที่ 2 คือเลี้ยงให้อ้วน เป็นการรวบรวมและทำมวลเมฆให้โตและหนาแน่นเพียงพอแต่เนื่องด้วยช่วงนี้มีสภาพอากาศที่มีความชื้นมากขึ้น กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จึงใช้โอกาสที่เหมาะสมนี้เพิ่มโอกาสในการก่อเมฆ เพื่อให้เมฆพัฒนาตัวลอยเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายและอาจตกลงมาเป็นฝนตามธรรมชาติได้ในบางพื้นที่ใกล้กรุงเทพมหานครมากที่สุด
นายสุพิศกล่าวว่า ระยะนี้สภาพอากาศยังคงเอื้ออำนวย มีความชื้นสัมพัทธ์ 40-50% ซึ่งโอกาสที่บินปฏิบัติการแล้วทำให้มีฝนตกเป็นไปได้สูง พร้อมย้ำว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จะยังคงเฝ้าติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดทุกวันเพื่อวางแผนขึ้นบินปฏิบัติการทำฝน ซึ่งหากสภาพอากาศเข้าเงื่อนไขจะมีการขึ้นบินปฏิบัติการทันที
สำหรับประชาชนที่ต้องการขอขอฝนหลวงได้ สามารถติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-5100 ต่อ 410 หรือช่องทางเพจ Facebook กรมฝนหลวงและการบินเกษตร, Instagram, Tiktok, Twitter : @drraa_pr.-สำนักข่าวไทย