สระบุรี 9 ก.ค. – โจรใจร้ายกดหัวหญิงพิการขา วัย 55 ปี ขณะอยู่ร้านค้าคนเดียว ก่อนชิงเงินพร้อมโทรศัพท์ หนีลอยนวล ขณะที่เจ้าของร้านคลานออกมาขอความช่วยเหลือ
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Noo Jum โพสต์ข้อความลงในเพจ “ที่นี่…แก่งคอย” ระบุข้อความว่า ผู้ใดพบเห็น หรือรู้จักบุคคลนี้ ได้จี้ชิงทรัพย์ร้านค้า จี้คนพิการและทำร้ายร่างกาย บริเวณร้านค้าหน้าวัดนาบุญ เวลา 14.26 นาที ใครรู้จักหรือเห็นบุคคลนี้ รบกวนช่วยแจ้งเจ้าของโพสต์นี้ด้วยนะคะ #ช่วยแชร์กันเยอะๆ นะคะ” พร้อมด้วยภาพจากกล้องวงจรปิด
จากภาพกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่าคนร้ายขี่จักรยานยนต์สีดำ-น้ำเงิน สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยีนส์แขนยาว รองเท้าผ้าใบสีขาว สะพายกระเป๋าด้านหน้า สวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบ ขี่ผ่านเลยหน้าร้านไป จากนั้นวนรถกลับมา เข้าไปที่ร้านค้า โดยใช้เวลาในการก่อเหตุประมาณ 2 นาที จึงขี่จักรยานยนต์ออกไปบนถนนเส้นป่าไผ่-นาบุญ
วันนี้ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เพื่อสอบถามนางชญาภัทร อายุ 37 ปี ผู้โพสต์ข้อความ เล่าว่า เหตุเกิดช่วงเวลา 14.26 น. วันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา วันดังกล่าวตนเองไม่ได้อยู่ร้าน เนื่องจากต้องไปทำงานใน อ.แก่งคอย มีเพียงแม่ที่พิการขาขาด เฝ้าร้านขายของอยู่คนเดียว จากนั้นมีเพื่อนบ้านโทรไปบอกว่าแม่ถูกชิงทรัพย์ จึงรีบกลับบ้าน และตรวจสอบกล้องวงจรปิด ปรากฏว่ากล้องที่บ้านเสีย จึงตรวจดูตามเส้นทางจึงพบว่ามีคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์เข้ามากดหัวแม่และหยิบกระเป๋าเงินไป ซึ่งภายในมีเงินอยู่ 1,100 บาท พร้อมโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ก่อนขับรถหนีไป ตนเองได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.แก่งคอย
ด้านนางสมจิตร อายุ 55 ปี เล่าว่า คนร้ายเดินเข้ามาแอบอยู่ตรงข้างห้องที่ตนเองนั่งอยู่ โดยโผล่หน้าที่สวมหมวกกันน็อก ทำทีขอซื้อบุหรี่ บอกว่าตนเองมีแบงก์พัน จากนั้นตนได้เปิดประตูห้อง เมื่อคนร้ายเห็นเงินที่อยู่ในถาดใส่เงินและบุหรี่ จึงเข้ามากดคอตนเองให้ก้มลง พร้อมพูดว่า อย่าร้องนะ จากนั้นคว้าไปที่เงินในถาดยกขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับคนร้ายเหลือบไปเห็นกระเป๋าใส่เงินที่วางอยู่ จึงหยิบเอาไปด้วย พร้อมถามหาโทรศัพท์ เมื่อเห็นโทรศัพท์ของตนวางอยู่ซึ่งเป็นโทรศัพท์รุ่นเก่า คนร้ายก็คว้าเอาไปด้วย ก่อนขี่รถหนีออกไป ตนเองจึงคลานไปเรียกเพื่อนบ้านมาช่วย
นางสมจิตร กล่าวอีกว่า โชคดีที่คนร้ายไม่ได้ทำร้ายตนเอง และกระเป๋าเงินอีกใบที่มีเงินอยู่ 2,000 กว่าบาท ตนเองคาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนเดียวกับคนที่เคยมาเติมน้ำมันรถกับตน แล้วบอกว่าไม่ได้เอาเงินมา จึงขอเอาโทรศัพท์ไว้ที่ร้านก่อน เพื่อที่จะกลับไปเอาเงินมาจ่าย จากนั้นกลับมาบอกว่ากระเป๋าเงินหาย โดยเอาโทรศัพท์ไว้กับตนเองก่อน วันนี้คนร้ายถึงได้ถามหาโทรศัพท์ ซึ่งโทรศัพท์ที่คนร้ายหยิบไปเป็นของตนเอง แต่โทรศัพท์ที่ให้ยึดไว้เป็นหลักประกันนั้นอยู่ตรงขอบประตูห้อง หลังเกิดเหตุจึงได้มอบให้กับตำรวจไว้เป็นหลักฐาน.-สำนักข่าวไทย