ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามฯ 30 พ.ค. – กระทรวงสาธารณสุข จัดโครงการป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ให้บริการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น-ไข้หวัดใหญ่ ก่อนเดินทาง พร้อมออกเอกสารรับรองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และส่งทีมแพทย์ไปดูแลระหว่างประกอบพิธี
นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโครงการป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ปี 2565 โดยมี H.E. Mr. Essam Saleh H. Algetale อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย นายอรุณ บุญชม ผู้แทนจุฬาราชมนตรี นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วม โดยภายในงานมีบริการตรวจสุขภาพให้แก่ชาวไทยมุสลิมก่อนเดินทางไปแสวงบุญ ให้บริการฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยสถาบันบำราศนราดูร สถาบันราชประชาสมาสัย และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง พร้อมออกเอกสารรับรองการให้วัคซีนป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ (เล่มสีเหลือง) โดยกองโรคติดต่อทั่วไป
นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ทำให้ความสัมพันธ์ “ไทย-ซาอุดีอาระเบีย” กลับมาอยู่ในระดับปกติอย่างสมบูรณ์ เกิดความร่วมมือที่ดี ทั้งการค้า การลงทุน พลังงาน ด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยว ความมั่นคงทางอาหาร และความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ และถือเป็นข่าวดีที่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ซาอุดีอาระเบียได้เปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ซึ่งพี่น้องชาวไทยมุสลิมได้รับการจัดสรรโควตาให้เดินทางไปร่วมแสวงบุญฮัจญ์ด้วย ดังนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จึงเห็นชอบสนับสนุนโครงการป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยให้บริการฉีดวัคซีนที่จำเป็น โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะที่สถานบริการของกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดบริการตรวจสุขภาพก่อนการเดินทาง และส่งหน่วยแพทย์พยาบาลไปให้การดูแลรักษาระหว่างการประกอบพิธีฮัจญ์ด้วย ซึ่งจะทำให้ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างครบถ้วน ทั้งก่อนการเดินทาง ระหว่างประกอบพิธี และหลังเดินทางกลับประเทศไทย สามารถประกอบพิธีและได้ฮัจญ์ที่สมบูรณ์ตามศาสนบัญญัติ
การประกอบพิธีฮัจญ์ ถือเป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ที่จำเป็นต้องปฏิบัติเมื่อมีความพร้อมตามที่ศาสนากำหนด โดยจะต้องเดินทางไปประกอบพิธี ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย แต่ละปีมีผู้เดินทางประมาณ 2-3 ล้านคน แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียจำกัดการประกอบพิธีฮัจญ์เฉพาะประชาชนของตนและผู้พักอาศัยในประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด สำหรับปี 2565 ได้ประกาศรับผู้แสวงบุญจากทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมประกอบพิธีฮัจญ์ รวม 1 ล้านคน โดยจัดสรรโควตาให้กับชาวไทยมุสลิม จำนวน 5,885 คน ภายใต้คุณสมบัติ 3 ประการ ดังนี้ 1. ต้องเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี 2.ได้รับวัคซีนโควิด 19 ครบโดส ตามที่กระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียกำหนด และ 3. ผลการตรวจโรคโควิด-19 แบบ RT-PCR เป็นลบ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทาง นอกจากนี้ ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ก่อนเดินทางเข้าประเทศ
กระทรวงสาธารณสุข จึงจัดให้มีการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นและโรคไข้หวัดใหญ่ พร้อมออกหนังสือรับรองการได้รับวัคซีนให้กับผู้แสวงบุญทุกคน ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2565 รวมถึงจัดระบบดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธี ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพก่อนเดินทาง ส่งทีมแพทย์พยาบาลไปดูแลระหว่างประกอบพิธี และเฝ้าระวังติดตามสุขภาพภายหลังเดินทางกลับ โดยวันนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการรับบริการทั้งสิ้น 950 คน. -สำนักข่าวไทย