นนทุบรี 13 ม.ค. – นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ ว่า กระทรวงเกษตรและทรัพยากรน้ำของออสเตรเลียออกประกาศเลขที่ 02-2017 ระงับการนำเข้ากุ้งสดและเนื้อกุ้งสด รวมถึงกุ้งสดและเนื้อกุ้งสดที่หมักในซอส (หรือกุ้งดิบแช่เย็นแช่แข็ง) จากต่างประเทศชั่วคราวเป็นระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยรวมถึงสินค้าจากประเทศไทยด้วย
สำหรับการประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินนี้กระทรวงเกษตรและทรัพยากรน้ำของออสเตรเลียดำเนินการภายใต้กฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพ เนื่องจากเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2559 มีการตรวจพบการแพร่ระบาดของไวรัสโรคตัวแดงดวงขาว (WSSV) ในกุ้งจากการเพาะเลี้ยงและกุ้งที่จับจากแหล่งน้ำธรรมชาติทางตอนใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งออสเตรเลียไม่เคยมีการพบโรค WSSV ในกุ้งมาก่อน
“กระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเร่งติดตามและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้างต้นแล้ว โดยขณะนี้ได้รับทราบข้อมูลจากสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยและสมาคมกุ้งไทย ว่า โรค WSSV เป็นโรคกุ้งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนฤดูกาลและพบมากในภาคใต้ของไทย การประกาศมาตรการดังกล่าวของออสเตรเลียไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกกุ้งไทย เนื่องจากการส่งออกกุ้งของไทยไปในตลาดออสเตรเลียส่วนใหญ่เป็นกุ้งแปรรูปหรือกุ้งต้ม ซึ่งมีปริมาณประมาณปีละ 10,000 ตัน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ประสานสอบถามข้อมูลเพิ่มไปยังกรมประมงและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ทราบว่าอยู่ระหว่างการเตรียมที่จะเจรจากับออสเตรเลีย เพื่อขอยกเลิกมาตรการระงับการนำเข้ากุ้งจากไทยเร็วที่สุด และกระทรวงพาณิชย์จะติดตามผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของไทย เนื่องจากออสเตรเลียแม้จะไม่ใช่ตลาดใหญ่ในการส่งออกกุ้ง แต่มีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีความเข้มงวดต่อคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งมีส่วนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับการส่งออกกุ้งของไทยในตลาดโลก
ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนของปี 2559 (ม.ค. – พ.ย.) ไทยส่งออกกุ้งแปรรูปไปออสเตรเลียมูลค่า 31.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.04 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยออสเตรเลียเป็นตลาดส่งออกกุ้งอันดับ 5 ของไทย รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนาม และแคนาดา.-สำนักข่าวไทย