เจนีวา 13 ก.ค.- นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำขององค์การอนามัยโลกเตือนว่า อย่าฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ข้ามชนิดกัน ในขณะที่ยังไม่แน่ใจในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
ดร.สุมยา สวามินาธาน ยาดาฟ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า มีแนวโน้มที่อันตรายเล็กน้อยเรื่องการฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน ในยามที่ยังไม่มีข้อมูลและหลักฐานสนับสนุนในระหว่างที่กำลังมีการศึกษาเรื่องนี้
ดร.สวามินาธาน หยิบยกผลการศึกษาขั้นต้นของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษที่พบว่า การฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่ออกซ์ฟอร์ดร่วมพัฒนาเป็นเข็มแรก แล้วตามด้วยวัคซีนของไฟเซอร์ ทำให้แอนติบอดีซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากภูมิต้านทานของร่างกายและทีเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิต้านทานชนิดหนึ่งมีปริมาณสูงกว่าการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์แล้วตามด้วยวัคซีนของแอสตราเซเนกา แต่ระดับแอนติบอดีจะสูงที่สุดหลังจากฉีดวัคซีนเซอร์/ไบโอเอนเทคครบ 2 โดส และระดับทีเซลล์จะสูงที่สุดหลังจากฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์/ไบโอเอนเทค นักวิจัยของออกซ์ฟอร์ดระบุในเวลานั้นว่า การฉีดวัคซีนต่างชนิดกันอาจช่วยให้การจัดสรรวัคซีนทั่วโลกมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ดร.สวามินาธานเตือนว่า อาจเกิดความโกลาหลขึ้นในประเทศ หากประชาชนเริ่มตัดสินใจว่าใครควรจะฉีดวัคซีนเข็มที่ 2, 3 หรือ 4 และควรฉีดเมื่อใด
ด้านโกลบอลนิวส์ของแคนาดารายงานว่า ชาวแคนาดาจำนวนมากทำตามคำแนะนำของรัฐบาลเรื่องฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน เช่น ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแล้วตามด้วยวัคซีนแบบเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) หลังจากคณะกรรมการแนะนำเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งชาติของแคนาดาแนะนำว่ามีความปลอดภัย.-สำนักข่าวไทย