นนทบุรี 19 มี.ค.-รัฐมนตรีพาณิชย์ไฟเขียวสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงพนักงานระดับสูง อคส.เอี่ยวทุจริตซื้อถุงมือยางเทียมพร้อมส่งให้ ป.ป.ช.ประกอบคดี ย้ำเงินหลวงกว่า 2,000 ล้านบาทจะต้องได้คืนกลับมา
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวภายหลัง ให้นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า(อคส.) พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ที่ได้ตั้งขึ้นตามระเบียบ อคส. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยของพนักงานปี 2561 ได้เข้ารายงานผลสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดในกรณีการจัดซื้อถุงมือยางเทียมของอคส.โดยคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่ได้ตั้งขึ้นตามระเบียบ อคส. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยของพนักงานปี 2561 ได้สอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้วและมีมติ 3 ข้อ คือ 1.ได้ข้อสรุปว่ามีผู้กล่าวหา 3 คน ที่มีมูลว่ามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงเห็นควรตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งจะมีโทษสูงสุดถึงไล่ออกหรือให้ออก
2.คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพบความเสียหายที่ก่อให้เกิดกับองค์การคลังสินค้าประกอบด้วยเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย และบวกความเสียหายอื่นๆ จึงเห็นควรตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการกระทำผิดทางละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 และ 3.เห็นควรส่งผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไปยัง ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาในการไต่สวนคดีจัดซื้อถุงมือยางเทียมของ อคส.ต่อไป
อย่างไรก็ตามได้กำชับและสั่งการว่าให้เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงให้บังเกิดผลต่อไปโดยเร็วที่สุดเพื่อแจ้งให้สาธารณะรับทราบว่า อคส.มีความตั้งใจในการหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว เรื่องนี้ผมจะไม่ปล่อยไว้ใครกระทำความผิดและเกี่ยวข้องกับการกระทำที่มิชอบจะจัดการโดยเด็ดขาด ทั้งเรื่องทางวินัย ทางแพ่ง หรือทางอาญา และกำชับให้ผู้อำนวยการ อคส.ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการทุกชุดที่ชอบด้วยกฎหมายให้เต็มที่ เพื่อให้สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยเร็วที่สุดและเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายที่เกิดกับ อคส.ให้ได้เร็วที่สุด
นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า(อคส.) กล่าวว่า วันนี้จะรวบรวมสำนวนทั้งหมด 900 กว่าหน้าส่ง ป.ป.ช.โดยมั่นใจว่าทุกบาททุกสตางค์ต้องได้คืนหมดพร้อมดอกเบี้ย เพราะใครจะเป็นตัวกลางตัวการร่วมหรือสนับสนุนก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และในวันที่ 22 มีนาคมนี้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดตรวจสอบทางวินัยราชการได้พิจารณาโทษผู้กระทำความผิดกันต่อ โดยจากหลักฐานและพยานขณะนี้พอที่สามารถพิจารณาว่ามีมูลความผิดวินัยร้ายแรงอย่างแน่นอน และไม่ว่าเงินที่ผู้กระทำความผิดเอาไปดำเนินการแล้วจะมีอยู่หรือไม่ในตอนนี้ ถือว่าเงินจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท และบวกดอกเบี้ยเป็นเงินหลวงผู้กระทำความผิดจะต้องชดใช้และหามาคืนให้กับหลวงครบทุกบาททักสตางค์.-สำนักข่าวไทย