รัฐสภา17 ก.ย.-พรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงสนับสนุนการแสดงออกของนิสิตนักศึกษา ประชาชนในการชุมนุม 19 ก.ย.นี้ ชี้ รัฐบาลต้องคุ้มครองและอำนวยความสะดวกอย่างเสรี ขอ มธ.ทบทวนเปิดให้ใช้สถานที่สาธารณะ เชื่อการชุมนุมปราศจากอาวุธ แต่ห่วงผู้มีอำนาจอาจทำให้เกิดปัญหาเอง
หัวหน้าพรรค 6 พรรคฝ่ายค้าน แถลงท่าทีต่อประเด็นสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ นายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่า การแสดงออกและการเรียกร้องของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ภายใต้กรอบกฎหมาย เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสามารถกระทำได้ รัฐบาลต้องคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้การแสดงออกดังกล่าวเป็นไปได้อย่างเสรี
และต้องเปิดพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยในการแสดงออกของประชาชน โดยปราศจากการคุกคาม แทรกแซง ให้ร้าย และต้องไม่ทำลายความคิดเสรี ด้วยการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายที่บิดเบือนข้อเท็จจริง การนิ่งเฉยปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธสลายการชุมนุม และกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นต้น ข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนควรจะต้องมีการนำไปสู่การพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย เพื่อเป็นการร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมให้กับสังคมไทย
ส่วนข้อเรียกร้องที่สำคัญของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นผลจากการสืบทอดอำนาจและความต้องการรักษาอำนาจของ คสช. เป็นการทำลายประเทศชาติ และนำพาประเทศมาสู่ทางตัน จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทั้ง ส.ส. ส.ว. ร่วมกันผลักดันร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 23-24 กันยายน 2563 ซึ่งสนับสนุนให้มี ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ ส.ส.ร.ทั้งหมดต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพื่อปลดล็อกประเทศจากทางตัน
พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยังเรียกร้องให้ส.ว.ร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับอำนาจของส.ว.โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ต้องถูกยกเลิก เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ และทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 19 กันยายนนี้ จะมีสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านไปสังเกตการณ์การชุมนุม ในฐานะคณะทำงานของคณะกรรมาธิการ การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร เชื่อว่าการชุมนุมของนักศึกษาจะปราศจากอาวุธ แต่เป็นห่วงว่าผู้มีอำนาจอาจทำให้เกิดปัญหาเอง ส่วนการแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถาบันนั้น สามารถทำได้ และที่ผ่านมานักศึกษาก็ได้พูดกันไปแล้ว
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า สนับสนุนการแสดงออกที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย อยากให้ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองใจกว้าง เพราะประเด็นที่ออกมาเรียกร้อง คืออยากสร้างอนาคตด้วยมือของคนรุ่นใหม่เอง ทุกคนในสังคมควรให้โอกาสถกเถียงเพื่อหาทางออกของสังคมอย่างเต็มที่และอยากให้ช่วยกันทำให้เป็นบรรยากาศที่ดี
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า นายกฯ ไม่มีหัวใจที่เป็นประชาธิปไตย โกงเลือกตั้งเข้ามา และเชื่อว่านายกฯ ไม่ยอมรับฟังการที่นักศึกษา ประชาชนจะมาอภิปรายในการชุมนุม และที่ผ่านมานายกฯ บริหารงานล้มเหลว งบประมาณไม่เพียงพอในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อนาคตอาจไม่มีเงินเดือนจ่ายให้ข้าราชการ ดังนั้น ขอให้นายกรัฐมนตรี ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและยอมรับความผิดพลาด เพราะทุกวันนี้นายกฯ ยังไม่ยอมรับความคิดและบอกให้ประชาชนสนับสนุนการทำงาน สมองบ้าไปหรือไม่ ผู้นำที่ดีจะต้องมีทั้งความซื่อสัตย์ กล้าหาญ เสียสละ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีตรงนี้ และหากยังดึงดันไม่ยอมรับสภาพเช่นนี้ต่อไป ให้ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ให้ใช้สถานที่ในการแสดงออก จะถือเป็นตราบาปของสถาบัน และอยากขอให้ผู้บริหารทบทวนการตัดสินใจ ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยไม่ใช่ของผู้บริหารหรือของรัฐบาล
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ต้องเลือกว่า จะหาทางออกหรือทางตันให้ประเทศ ถ้าจะหาทางออก คือ ต้องเปิดพื้นที่สาธารณะ แต่ถ้าทางตัน คือผลักไปให้อยู่ในโลกโซเชียลอย่างเดียว และถือเป็นการปิดกั้นความคิดของนักศึกษา และเวลาอีก 2-3 วันนี้ ยังมีเวลาที่จะเลือกว่าให้ประเทศเดินไปทางไหน ถ้าผลักไปสู่ทางตันบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ จึงขอให้ทุกคนร่วมกันคิดหาอนาคตของประเทศด้วยกัน
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ที่มีความเป็นห่วงเกี่ยวกับการแสดงความเห็นเรื่องสถาบัน อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจว่าประเด็นนี้ มีการสร้างปัญหาจากบางฝ่ายและปะทุมาเรื่อย ๆ โดยการเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นเวลากว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2548 โดยยกประเด็นสถาบันมากล่าวหาเพื่อล้มรัฐบาลบางชุด การรัฐประหาร 2 ครั้ง ก็อ้างว่าปกป้องสถาบัน การที่เด็กและเยาวชนพูดถึงเรื่องสถาบัน เพราะเติบโตมากับการนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ที่สุดแล้วความรับผิดชอบควรไปตกอยู่กับผู้ที่ดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งคณะรัฐประหาร ผู้นำกองทัพ ต้องรับผิดชอบว่าสังคมจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร แต่กลับผูกเงื่อนให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม.-สำนักข่าวไทย