กรุงเทพ ฯ 31 ส.ค. บล.ทรีนีตี้ มองหุ้นเดือน ก.ย. ขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ แนะกันเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเพื่อรอซื้อในช่วงดัชนีย่อตัวหรือปรับฐาน ให้กรอบการเคลื่อนไหวเดือนนี้ที่ 1,270 -1,340 จุด มองหุ้นขนาดกลาง-เล็กมีโอกาสไปต่อ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผย ถึงทิศทางการลงทุนเดือนกันยายนว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัว Sideways ถึง Sideways down หลังนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยประมาณการ EPS ปี 2021 ณ ตอนนี้อยู่เพียง 76.70 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ หากอิงกับ PE Model ของทรีนีตี้ซึ่งมีกรอบบนของ Forward PE อยู่ที่ 16.8 เท่า จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในกรณีดีสุดจะอยู่เพียงแค่ 1,290 จุดเท่านั้น ซึ่งหากเทียบเคียงกับดัชนีปัจจุบัน จะเห็นว่ามี Downside risk อยู่ จึงประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวอิงทางลงมากกว่าในเดือนนี้
“ตอนนี้หุ้นไทยไม่ได้อยู่ในสายตานักลงทุนต่างประเทศเลยเพราะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ถูกปรับลดประมาณการ EPS ลงมาต่อเนื่อง แถมปีหน้าจะโตเพียง 20% เท่านั้น แต่ทว่าในทางกลับกัน หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในดัชนี sSET กลับได้รับการปรับประมาณการเพิ่มจากนักวิเคราะห์ในตลาด จนทำให้ Forward PE ปัจจุบันของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและถูกว่า Forward PE ของหุ้นขนาดใหญ่อีกด้วย” นายณัฐชาต กล่าว
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในเดือนกันยายน แนะนำนักลงทุนรอจังหวะที่ดัชนีย่อตัวลงมาที่บริเวณแนวรับในการเข้าสะสมหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีธีมการลงทุนน่าสนใจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ธีมดังนี้ 1. กลุ่มบริหารหนี้ที่ได้ประโยชน์จากหนี้เสียที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แนะนำ JMT และ CHAYO 2. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบราคาถูก และอิงกับสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบน้อย หากเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว แนะนำ SFLEX, PTL, BGC, UTP 3. กลุ่มปั๊มน้ำมัน ซึ่งได้ประโยชน์จากค่าการตลาดที่ทรงตัวในระดับสูง และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ แนะนำ PTG 4. กลุ่มถุงมือยาง ที่มียอดการส่งออกแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสามารถหาจังหวะการเข้าซื้อได้ในช่วงที่มีข่าวดีเรื่องวัคซีนต้าน COVID-19 ออกมา แนะนำ STGT และ 5. หุ้นอื่นๆที่มี Earnings momentum เชิงบวกในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ ILINK, PRM, TKN, TPCH เป็นต้น
นายณัฐชาต กล่าวว่า ทรีนีตี้ ให้ความสำคัญเรื่อง Asset Allocation มาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ช่วงต้นปีแนะนำการลงทุนในทองคำราว 10% ของพอร์ตการลงทุนรวม แต่เมื่อทองคำปรับตัวทะลุระดับ 2,000 เหรียญฯต่อออนซ์ จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักลงมาเหลือ 5% อย่างไรก็ตาม ล่าสุดหลังราคาหลุดต่ำกว่า 2,000 เหรียญฯต่อออนซ์อีกครั้ง จึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งมาอยู่ที่สัดส่วนราว 5-10% ของพอร์ต โดยมองว่าการลงทุนในทองคำยังคงมีความน่าสนใจ จากแนวนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะยังคงผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมถึงมีการปล่อยให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มทะลุระดับ 2% ได้ในบางช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริงอยู่ในระดับติดลบต่อไป ทั้งนี้ ประเมินภาวะฟองสบู่ในทองคำจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าราคาทองคำจะขึ้นไปที่ระดับ 2,166 เหรียญฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาที่เทียบเท่าจุดสูงสุดในยุค 1980 ในมิติของราคาทองคำแท้จริง.-สำนักข่าวไทย