ระยอง 25 ส.ค. – ชาวสวนลำไยเฮ ครม.เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ โดยให้ไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ จ่ายผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ชี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากลำไยสุกแก่เต็มที่ แต่ผู้ประกอบการจีนยังไม่สามารถเข้าไทย เพื่อส่งลำไยอบแห้งไปจีนได้ เพราะติดสถานการณ์โควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือชาวสวนลำไย เพื่อฟื้นฟูการผลิตลำไยที่ประสบปัญหาด้านการผลิตและการตลาดจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากประเทศผู้ซื้ออันดับ 1 คือ จีนรับซื้อจำนวนน้อยลงมาก สำหรับเกษตรกรชาวสวนลำไยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้มีประมาณ 200,00 ครัวเรือน พื้นที่ 1,200,000 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ลำไยที่ให้ผลผลิตแล้วหรืออายุต้นลำไยตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป ซึ่งจะได้รับความช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่
ทั้งนี้ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวลำไยในฤดูภาคเหนือเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน แต่จากสภาพอากาศร้อนผิดปกติอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่องสลับกับอากาศที่หนาวเย็นฉับพลันในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ลำไยออกดอกและติดผลมาก แต่การติดผลไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร อีกทั้งการเผชิญภัยแล้งต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายน – พฤษภาคม ทำให้ลำไยไม่สามารถทนทานต่อความร้อนที่สูงขึ้นเป็นระยะยาวได้ ช่อผลที่กำลังพัฒนามีการหยุดชะงัก ผลเล็กไม่เจริญเติบโต หรือผลที่เติบโตเต็มที่มีอาการผลแตก ซึ่งโครงการที่คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุตบอร์ด) เสนอมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือด้านการพัฒนาคุณภาพการผลิต
ชาวสวนลำไยยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานต่างด้าวที่เป็นแรงงานฝีมือเฉพาะในการเก็บเกี่ยวคัดแยกบรรจุหีบห่อ ทำให้เกษตรกรต้องจ้างแรงงานในประเทศมาทดแทนซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ แม้จีนจะเปิดด่านพรมแดนแล้ว แต่การขนส่งยังล่าช้า ระยะนี้เป็นช่วงที่ลำไยสุกแก่เต็มที่ จำเป็นต้องเร่งระบายผลผลิต แต่ผู้ประกอบการชาวจีนซึ่งเป็นตลาดรับซื้อลำไยอันดับ 1 ยังไม่สามารถเดินทางมาซื้อขายลำไยได้โดยสะดวก ตลอดจนไม่มีการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อประกันความเสี่ยงให้แก่เกษตรกรได้เหมือนอย่างเช่นฤดูกาลผลิตที่ผ่านมา ธุรกิจการนำเข้าลำไยไปจีนชะลอตัวลง เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการปลูกลำไยในประเทศมากขึ้นจากเดิม 2 ล้านไร่เป็น 10 ล้านไร่ในปัจจุบันและยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นได้ว่า ลำไยเป็นไม้ผลที่ลักษณะการบริหารจัดการแบบจำเพาะแตกต่างจากไม้ผลชนิดอื่น
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า เกษตรกรที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการต้องมีสัญชาติไทยและบรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นหัวหน้าครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกับกรมส่งเสริมการเกษตรภายในวันที่ 15 กันยายน สำหรับเกษตรกรซึ่งเคยขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้ก่อนมีมติคณะรัฐมนตรีวันนี้ (25 สิงหาคม) ขอให้มาปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันภายในวันที่ 15 กันยายน สำหรับเกษตรกรรายใหม่ที่ยังไม่เคยขึ้นทะเบียนเกษตรกรมาก่อน หากประสงค์เข้าร่วมโครงการ ต้องมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กันยายนเช่นเดียวกัน โดยต้องเตรียมเอกสาร/หลักฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้พร้อมคือ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สำเนาเอกสารสิทธิ์ (ถ้ามี) สำหรับทะเบียนบ้านที่นำมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรจะต้องมีการกำหนดบ้านเลขที่ และกรณีที่ย้ายเข้าทะเบียนบ้านใหม่ ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขของกระทรวงมหาดไทย ก่อนวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 เกษตรกรต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งใช้เป็นช่องทางโอนเงินช่วยเหลือสู่บัญชีเกษตรกรโดยตรง โดยกำหนดกรอบระยเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม
จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า สถานการณ์การผลิตลำไยปี 2562 ทั้งประเทศ มีเนื้อที่ปลูก 1,201,678 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 1,169,49 ไร่ และผลผลิต 1,011,276 ตัน ผลผลิตเฉลี่ย 865 กิโลกรัมต่อไร่ ในด้านเศรษฐกิจมีมูลค่าการส่งออกลำไยสด 583,297 ตัน คิดเป็น 20,812 ล้านบาท แต่มูลค่าการส่งออกลำไยอบแห้งสูงถึง 164,575 ตัน คิดเป็นมูลค่า 8,780 ล้านบาท ประเทศคู่ค้าสำคัญที่เป็นตลาดหลัก ได้แก่ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ดังนั้น เมื่อพ่อค้าจีนเดินทางมาไม่ได้ ลำไยส่วนใหญ่ที่ต้องเข้าสู่โรงงานอบแห้งจึงออกสู่ตลาด โดยขายเป็นลำไยสด ตลอดจนผลผลิตลำไยส่วนหนึ่งมีปัญหาด้านคุณภาพจากสภาพอากาศจึงทำให้ราคาลดต่ำลงมาก อีกทั้งลำไยบางพื้นที่เก็บเกี่ยวผลผลิตล่าช้า จนคาบเกี่ยวกับผลผลิตจากภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ซึ่งมีตลาดสำคัญตลาดเดียวกัน คือ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย.-สำนักข่าวไทย