กรุงเทพฯ 2 มิ.ย. – เกษตรกรเลี้ยงหมูเผยร้อนแล้ง-อากาศแปรปรวน ทำหมูเสียหาย 10% ต้นทุนเพิ่มตัวละ 100 บาท
นายเสน่ห์ นัยเนตร ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์การปศุสัตว์ภาคตะวันออก จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์การเลี้ยงสุกร ว่า จากปัญหาอากาศร้อนและภัยแล้งจนถึงอากาศแปรปรวน บางพื้นที่ร้อนอบอ้าวจนถึงมีฝนตกจากพายุฤดูร้อน ทำให้สัตว์ปรับสภาพร่างกายไม่ทันเกิดความเครียดกินอาหารน้อยลง ร่างกายอ่อนแอและอาจเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การเติบโตช้าลง พบว่าอัตราการสูญเสียในฟาร์มจากภาวะอากาศดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 10% ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรต่างพยายามป้องกันโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF ในสุกร เพื่อไม่ให้โรคนี้เข้ามาทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยได้ ความพยายามในการป้องกัน ASF ของเกษตรกรทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ปลอดโรคนี้ แม้ว่าเกษตรกรต้องมีต้นทุนเพิ่ม แต่ก็ยินดีปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงและการป้องกันโรคที่ภาครัฐแนะนำ พบว่าภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 บาท ทั้งจากการใช้ยาฆ่าเชื้อพ่นป้องกันทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้ง และค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงงาน
“นอกจากต้นทุนเพิ่มจากการยกระดับการป้องกันโรคแล้ว ปัญหาภัยแล้งยังกระทบกับเกษตรกรที่ส่วนใหญ่มีน้ำไม่เพียงพอ จึงต้องซื้อน้ำจากภายนอกมาใช้ในฟาร์มทุกวัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 2-3% หากเดือนมิถุนายนนี้ยังไม่มีฝนเข้ามาเกษตรกรต้องทุกข์กันหมด เพราะรถขายน้ำไม่มีน้ำมาขาย และยังมีค่าไฟเพิ่ม เพราะต้องเปิดพัดลมระบายอากาศและเดินระบบอีแวปตลอดเวลา ขณะที่สภาพอากาศแปรปรวนฉับพลันในปัจจุบันกำลังซ้ำเติมเกษตรกร ทำให้ลูกหมูอ่อนแอมาก เป็นไข้หวัด ป่วยง่าย จึงมีค่าเวชภัณฑ์ในการรักษาเพิ่ม และยังต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาแพงที่ถือว่าเป็นภาระหนักมากสำหรับคนเลี้ยง” นายเสน่ห์ กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาสูงขึ้นเป็นอย่างมาก อาทิ ปลายข้าวราคาสูงกว่า 12 บาทต่อกิโลกรัม และรำข้าวราคา 10-11 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนการผลิตปัจจุบัน 65-67 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์มประมาณ 66-71 บาทต่อกิโลกรัม
นายเสน่ห์ กล่าวอีกว่า จากปัญหาหมูล้นตลาด หรือ Over Supply ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีเกษตรกรรายย่อยหายไปจากระบบมากกว่า 50% อย่างไรก็ตาม เกษตรกรทั้งประเทศยังร่วมกันบริหารจัดการทั้งระบบ เพื่อให้ไทยยังคงมีประชากรหมูเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ ส่วนราคาที่ปรับขึ้นลงก็เป็นไปตามกลไกตลาดแต่ละช่วงเวลา ขณะเดียวกันขอฝากภาครัฐช่วยผลักดันเรื่องการส่งออกหมูสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่ยังคงมีความต้องการนำเข้าจากประเทศไทยอยู่มาก จากความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพมาตรฐานปลอดโรค ASF และมาตรฐานการผลิตของไทย ที่ปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยได้หันมาปฏิบัตตามมาตรฐาน GAP ของกรมปศุสัตว์ ถือเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมหมูไทย.-สำนักข่าวไทย