นนทบุรี 16 เม.ย. – พาณิชย์ถกผู้ผลิต-ห้าง 21 แห่ง พร้อมใจลดราคาสินค้าหมวดอาหารและสินค้าจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน 6 กลุ่ม ร้อยละ 5-58 เริ่มวันนี้ถึง 30 มิ.ย.นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับผู้ผลิตสินค้า 13 รายใหญ่ เช่น ยูนิลีเวอร์ ซีพีเอฟ เบอร์ลี่ยุคเกอร์ คอลเกต ข้าวตราฉัตร และหยั่นหว่อหยุ่น รวมถึงห้างค้าปลีก-ค้าส่ง อีก 8 แห่ง ทั้งแม็คโคร โลตัส บิ๊กซี ท็อปส์ และเซเว่น-อีเลฟเว่น เพื่อหาแนวลดราคาสินค้าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ เอกชนทุกรายพร้อมใจลดราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน 6 หมวด ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ทั้งข้าวสาร น้ำมันปาล์ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และนม หมวดอาหารปรุงสำเร็จแช่แข็ง ลดราคาผ่านเซเว่น-อีเลฟเว่น และซีพีเฟรชมาร์ท หมวดซอสปรุงรส ทั้งซีอิ้วขาว-ซีอิ๋วดำตราเด็กสมบูรณ์ ซอสหอยนางรม เต้าเจี้ยว หมวดของใช้ประจำวัน เช่น กระดาษชำระ แป้งเด็ก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และผ้าอนามัย หมวดผลิตภัณฑ์ชำระร่างกาย ทั้งสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า และหมวดผลิตภัณฑ์ซัก-ล้าง ทั้งน้ำยาทำความสะอาดผ้า น้ำยาล้างขวดนม และน้ำยาทำความสะอาดพื้น รวม 72 รายการ ในห้างที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ร้อยละ 5 – 58 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563
อย่างไรก็ตาม การปรับลดราคาของผู้ผลิตรายใหญ่เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยม ถือเป็นการชี้นำตลาดให้แบรนด์อื่น ๆ เข้ามาร่วมปรับลดราคาสินค้าตามด้วย ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนสินค้านั้น ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยนำปัจจัยจากราคาน้ำมันมาเป็นเหตุผลของการปรับขึ้น หรือลดราคาสินค้าแต่อย่างใด โดยจะดูจากวัตถุดิบและค่าแรงเป็นหลัก
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อต้นทุนการผลิตรวมในสินค้าอุปโภคบริโภคเพียงร้อยละ 1- 3 เท่านั้น เพราะราคาน้ำมันอยู่ในภาคบริการค่าขนส่งและโลจิสติกส์เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาแม้ราคาน้ำมันปรับขึ้นก็ไม่เคยใช้เป็นเหตุผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นเช่นกัน ดังนั้น นโยบายการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการลดราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์นั้น จึงเป็นนโยบายที่เกิดจากความตั้งใจที่จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในสถานการณ์วิกฤตินี้โดยเฉพาะเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย