กรุงเทพฯ 9 ธ.ค.-“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เตรียมแผนนำพลังงานกระตุ้นเศรษฐกิจ
ศึกษาแผนใหม่นำไฟฟ้าส่วนเกินความต้องการ มาใช้ลดค่าตั๋วรถไฟฟ้า ส่งเสริมอีวี
ขีดแผนปี 2563 ลงทุน โรงไฟฟ้าชุมชน 70,000-80,000 ล้านบาท
เจรจาพื้นทีทับซ้อนไทย-กัมพูชา โยนคำถาม”ถ่านหิน”อาจช่วยค่าไฟฟ้าต่ำลง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวในงานสัมมนาข้าราชการและรัฐวิสาหกิจกระทรวงพลังงาน
ในหัวข้อ “การสื่อสารนโยบายพลังงานสู่การปฏิบัติ ปี 2563” โดย
ยอมรับปี 2563 เศรษฐกิจไทยไม่ดีแน่นอน เป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลก
เป็นภาวะที่ลำบากมาก กลไกแก้ไขเศรษฐกิจของภาครัฐทำได้ยาก มีข้อจำกัด ดังนั้นกระทรวงพลังงานต้องเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน คาดจะมีเม็ดเงินลงทุน 70,000-80,000
ล้านบาทในปีหน้า การพิจารณานำไฟฟ้าส่วนเกินที่เหลือใช้ หรือสำรองไฟฟ้า
ที่ประเทศมีถึงประมาณร้อยละ30 มาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับรถไฟฟ้าสาธารณะต่างๆ โดยเป้าหมาย คือต้องลดค่าตั๋วภาคประชาชนถูกลง
และไฟฟ้าส่วนเกินก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี )
และการค้าไฟฟ้าระหว่างประเทศ ตามแผนการเชื่อมโยงไฟฟ้าของอาเซียน (อาเซียนกริด )
โดยในส่วนของอีวีนั้น ได้หารือกับนายสมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ว่าจะต้องส่งเสริมร่วมกันทั้งระบบเพื่อรองรับทิศทางในอนาคต โดยเห็นร่วมกันว่า
รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแล โดยในส่วนของกระทรวงพลังงาน
พร้อมสนับสนุนเรื่องของสถานีชาร์จไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม
ขณะที่เรื่องการปรับปรุงแผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี (PDP2018) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
กล่าวว่า ไม่ได้ตั้งเป้าหมายให้ค่าไฟฟ้า
20 ปีราคาจะต้องไม่สูงกว่า 3.58 บาท/หน่วย
แต่ต้องเน้นความสามารถการแข่งขันของประเทศ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้าน
ดังนั้น ควรจะพิจารณาว่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำ
ควรก่อสร้างหรือไม่ ซึ่งกรณีเวียดนาม ต้องยอมรับว่า
ค่าไฟฟ้าที่ต่ำส่วนหนึ่งมาจากการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน อย่างไรก็ตาม
ต้นทุนเหล่านี้ก็ต้องพิจารณาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย
ขณะเดียวกันจะมีการส่งเสริมพลังงานชุมชน
เพื่อให้ผลิตเองใข้เองลดค่าใช้จ่าย
โดยใช้กองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานไปส่งเสริม ให้พิจารณาตั้งเป้าหมายว่า ใน 3-5ปีข้างหน้า
ทุกพื้นที่ในประเทศไทยต้องมีไฟฟ้าใช้ทั้งหมด
ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มีประมาณ 40 จังหวัด 662 หมู่บ้าน 53,687
ครัวเรือน และมีพื้นที่อยู่ปลายสายส่งที่เกิดปัญหาไฟตกไฟดับบ่อยอีก 11 จังหวัด 52
หมู่บ้าน 60,599 ครัวเรือน
“โรงไฟฟ้าชุมชน จะมีกว่า 1,000 เมกะวัตต์ช่วง 3 ปีข้างหน้า
โดยระยะแรกหรือปีหน้าคาดจะมีเงินลงทุน 70,000-80,000 ล้านบาท ให้ชุมชนถือหุ้นร่วมกับเอกชน
และนำพืชเกษตรกร เช่น ไผ่ หญ้าเนเปียร์ ทลายปาล์ม ซังข้าวโพด ฟางข้าว
ไปเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมชาวบ้านมีรายได้เพิ่ม
เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก โดยรายละเอียดทั้งหมด
จะเสนอคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 16 ธันวาคมนี้”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2563
จะผลักดันให้เกิดการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา
เพื่อหาข้อตกลงในการพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนระหว่างกัน
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อความมั่นคงร่วมกันใน 20 ปีข้างหน้า
รองรับก๊าซในอ่าวไทยลดลง เพราะแม้ไทยจะประมูล”แหล่งบงกช-เอราวัณ”เสร็จสิ้นไปแล้ว
แต่ปริมาณที่เหลือก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะยาวนานได้มากน้อยขนาดใด ขณะเดียวกันแผนการส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานทั้งการซื้อขายไฟฟ้าและแอลเอ็นจีต้องตอบโจทย์ด้วยว่า
ประชาชนจะได้อะไรจากแผนเหล่านี้
สำหรับนโยบาย “Energy For All พลังงานเพื่อทุกคน” ซึ่งได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเมื่อเดือนกรกฎาคม
ปี 2562 และยังเป็นนโยบายหลักที่จะผลักดันต่อไปในปี 2563 ที่จะมาถึง
และภาพลักษณ์เดิมของกระทรวงฯ ถูกมองว่าให้ความสำคัญกับการลงทุนขนาดใหญ่
ประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงพลังงาน ซึ่งจะต้องผลักดันให้มากขึ้น เช่น
ช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ผู้มีรายได้น้อย ด้านส่วนลดค่าก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยอยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
และหนึ่งในแผนคือส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งเอทานอล ไบโอดีเซล
ซึ่งจากนโยบายส่งเสริม B10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐาน และมีB 20
ที่ใช้สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ช่วยยกระดับราคาปาล์มน้ำมันขึ้นมาที่กิโลกรัมละกว่า
4 บาทแล้ว รวมทั้งยังช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ได้อีกทางหนึ่งด้วย-สำนักข่าวไทย