กรุงเทพฯ 14 ต.ค. – ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินคาดจีดีพีปี 62 ขยายตัวร้อยละ 3 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และปี 63 ขยายตัวร้อยละ 3.3
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวร้อยละ 3 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคการส่งออก สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.3
นายชาติชาย กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยประคองกำลังซื้อภาคครัวเรือน การออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจากต่างประเทศ (Thailand Plus Package) ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว แต่ได้รับการชดเชยจากนักท่องเที่ยวโซนเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักกลับมาดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น การมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสร้างความเชื่อมั่นในการเจรจาเขตการค้าต่าง ๆ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2562 ได้แก่ การส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตและรายได้ครัวเรือนภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลง ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลางส่งผลต่อต้นทุนทางธุรกิจ กระบวนการตรวจรับและเบิกจ่ายที่ล่าช้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่อาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งตะวันออกกลางกรณีอิหร่านและสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งในแคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดีย ปากีสถาน และจีน เป็นต้น หากการเจรจาไม่สำเร็จอาจพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นได้
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มีแนวโน้มด้อยลงจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลลดลง จากการเกินดุลการค้าและดุลบริการที่คาดว่าจะเกินดุลน้อยลง ประกอบกับเงินบาทที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าสะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ขณะที่ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้นทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) สำหรับการกู้ร่วม เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แรงกดดันจากความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชัดเจนขึ้น.-สำนักข่าวไทย