กรมอนามัย 12 ก.ย.-สธ.พบประชาชนนิยมเข้าร้านกาแฟเฉลี่ยถึง 6 ครั้งต่อเดือน เร่งพัฒนาสถานที่จำหน่ายอาหาร “กลุ่มร้านกาแฟ แฟรนไชส์” รองรับกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ.2561 เพื่อพัฒนาสถานที่จำหน่ายอาหารกลุ่มร้านกาแฟให้มีสุขลักษณะที่ดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
นายเรวัต อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ.2561 “กลุ่มร้านกาแฟ แฟรนไชส์” เพื่อรองรับกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ.2561 ว่า คนไทยนิยมเข้าร้านชา กาแฟ เฉลี่ย 6 ครั้งต่อเดือน ซึ่งมีอัตราการเข้าถึงของร้านกาแฟอยู่ที่ร้อยละ 60 ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครมีอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 69 เมื่อเทียบกับต่างจังหวัดพบร้อยละ 53 โดยเฉพาะผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครเข้าร้านกาแฟเฉลี่ยถึง 8 ครั้งต่อเดือน เหตุผลหลักคือช่วยสร้างความสดชื่นและตื่นตัวระหว่างวัน
นอกจากนี้สัดส่วนของกลุ่มที่ดื่มกาแฟ เพราะแบรนด์ของกาแฟมีจำนวนที่โตขึ้น นอกเหนือจากคุณภาพและการบริการที่ดี ดังนั้น ถ้าสถานที่จำหน่ายอาหารที่เป็นกลุ่มร้านกาแฟไม่ถูกสุขลักษณะอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรค สารเคมีหรือโลหะหนักส่งผลต่อสุขภาพประชาชนได้
‘กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย จึงจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ.2561 “กลุ่มร้านกาแฟแฟรนไชส์” เพื่อรองรับกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ. 2561 ในครั้งนี้ขึ้น ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายภาคเอกชนกลุ่มร้านกาแฟกว่า 30 แฟรนไชส์ เข้าร่วมประชุม เพื่อพัฒนาระบบรูปแบบและกลไกการขับเคลื่อนกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ.2561 และส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในการขับเคลื่อนกฎกระทรวงฯ ให้เกิดความเข้มแข็งและเป็นไปอย่างมีประสิทธิ ภาพ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการต้องเข้ารับการอบรม 6 ชั่วโมง และ ผู้สัมผัสอาหารต้องเข้ารับการอบรม 3 ชั่วโมง เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลอาหารภายใน 2 ปี อีกทั้งต้องนำหลักฐานการรับรอง ที่หน่วยงานจัดการอบรมออกให้มายื่นต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้ขออนุญาตเป็นสถานที่จำหน่ายอาหาร’ นายเรวัตกล่าว
สำหรับหลักฐานการรับรองผ่านการอบรม คือบัตรประจำตัวผู้สัมผัสอาหารหรือวุฒิบัตรจะมีอายุ 3 ปี สามารถใช้แสดงเป็นหลักฐานในการขออนุญาตประกอบกิจการสถานที่จำหน่ายอาหารได้ทั่วประเทศ โดยผู้ประกอบกิจการต้องจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ผ่านการอบรมทุกคนเก็บไว้ ณ สถานที่จำหน่ายอาหารของตน พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบได้
ด้าน นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้กำหนดมาตรการในการจัดการสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร โดยให้ราชการส่วนท้องถิ่น เช่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น เข้ามาควบคุม ดูแล สถานที่จำหน่ายอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ออกข้อกำหนดท้องถิ่นเพื่อใช้ในการควบคุมกำกับสถานที่จำหน่ายอาหารในเขตรับผิดชอบให้ถูกสุขลักษณะ โดยมีกรมอนามัยให้การสนับสนุนเป็นที่ปรึกษาทางด้านมาตรฐานวิชาการและปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ และเพื่อพัฒนาสถานที่จำหน่ายอาหารมีสุขลักษณะที่ดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 มีสาระสำคัญ 1.สุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สำหรับบริโภคอาหาร เช่น พื้น ผนัง เพดาน แสงสว่าง น้ำเสีย มูลฝอย ส้วม อ่างล้างมือ การป้องกันควบคุมสัตว์และแมลงนำโรค
2.สุขลักษณะของอาหาร กรรมวิธีการทำ ประกอบหรือปรุง การเก็บรักษาและการจำหน่ายอาหาร ให้สะอาด ปลอดภัย จัดเก็บอย่างถูกสุขลักษณะ น้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำแข็ง ถูกต้องตามข้อกำหนดและห้ามใช้ก๊าซหุงต้มบนโต๊ะรับประทานอาหาร
3.สุขลักษณะของภาชนะ อุปกรณ์ และเครื่องใช้อื่น ๆ ต้องมีความสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานและต้องจัดให้มีช้อนกลาง สำหรับอาหารที่รับ ประทานร่วมกัน
และ4) สุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหาร ต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญโดยผู้ประกอบกิจการต้องเข้ารับการอบรมและมีหน้าที่จัดให้ผู้สัมผัสอาหารในสถานที่จำหน่ายอาหารของตนเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดซึ่งบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 25 เมษายน 2562 .-สำนักข่าวไทย