นนทบุรี 24
ส.ค.-อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแนะผู้ประกอบธุรกิจดูแลผู้สูงอายุเสริมความรู้ทุกด้านรองรับตลาดวัยเกษียณทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นทุกปี เชื่อไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางด้าน Home Care ได้แน่
ทำให้มีการแข่งขันให้บริการแก่ผู้สูงอายุในรูปแบบต่างๆกันมากขึ้นเพื่อให้กลุ่มผู้สูงอายุไทยและชาวต่างชาติได้รับความสะดวกสบายทั้งกายและใจ
ดังนั้น
ในฐานะกรมฯมีหน้าที่พัฒนาให้ผู้ประกอบการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุให้สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การบริหารทรัพยากรบุคคลการบริหารจัดการความเสี่ยงในธุรกิจ การบริหารภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจัดทำแผนการเงิน การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และการสร้างโมเดลธุรกิจ เพื่อยกระดับให้ธุรกิจเป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากผู้ใช้บริการในประเทศและระดับสากล รองรับสังคมผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น
โดยผู้สูงอายุต่างชาติมองไทยมีโอกาสสูงเป็นศูนย์กลางด้าน Home
Care ได้
ทั้งนี้
กรมฯได้จัดอบรมหลักสูตรปฏิบัติการพิชิตธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวสามารถปรับตัวและพร้อมที่จะเข้ามารองรับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่จะเข้ามาใช้บริการกันได้เพิ่มขึ้น
โดยกรมฯจะเดินหน้าจัดอบรมเสริมความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุได้ปรับตัวกันสอดคล้องการเติบโตของผู้สูงอายุกันต่อไป
หากดูอัตราการเติบโตของประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกปีส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุมีการขยายตัวตาม โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้มีเทคโนโลยีทางการแพทย์และการให้บริการมีประสิทธิภาพ
ทำให้จำนวนการเสียชีวิตลดลงและอายุขัยของประชากรในประเทศเพิ่มขึ้น
และจากผลสำรวจกลุ่มผู้สูงอายุในต่างประเทศ
ได้มองว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของคนสูงวัยจากทั่วโลกที่ต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว พักผ่อน หรือใช้ชีวิตยามบั้นปลายถือเป็นโอกาสดีแก่ผู้ประกอบการไทยในการสร้างธุรกิจ เพื่อรองรับความต้องการของประชากรผู้สูงอายุจากทั่วโลก จึงทำให้ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และมองว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าธุรกิจการดูและผู้สูงอายุรวมถึงสินค้าเฉพาะกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ทำให้ต้องเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร การหากิจกรรมและสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุต่อการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องการคนดูแลช่วยเหลือ รวมถึงสถานที่ตั้งของธุรกิจควรจะตั้งอยู่ใกล้สถานพยาบาล เพื่อความรวดเร็วในการเดินทางของผู้สูงอายุในกรณีฉุกเฉิน
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญควรหาพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนให้บริการด้านสุขภาพ
ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันในระดับสากล ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุเป็นงานบริการที่ต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจ ต้องมีความรู้ด้านการพยาบาล หรือผู้ช่วยพยาบาล ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเป็นอย่างดี จึงทำให้บุคลากรด้านการดูแลผู้สูงอายุขาดแคลนไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด
ซึ่งปัจจุบัน ผู้มีประกอบธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยมีอยู่ 800 ราย แบ่งเป็นนิติบุคคล 273 ราย คิดเป็น ร้อยละ 34.125 และบุคคลธรรมดา 527 ราย คิดเป็นร้อยละ 65.875 และคาดว่าในอนาคตจำนวนผู้ประกอบกิจการดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของผู้สูงอายุ
ดังนั้น
จึงเป็นสิ่งที่ไทยจะต้องเร่งปรับตัวรองรับเรื่องเหล่านี้อย่างเร่งด่วนกันต่อไป.-สำนักข่าวไทย