ออสเตรีย 26 มิ.ย. – ปตท.เตรียมทบทวนเป้ากำไร หลังเจอพิษสงครามการค้า ทำยอดขายและส่วนต่างของกำไรปิโตรเคมีลดลง พร้อมคาดลงนามมาบตาพุดเฟส 3 ก.ค.นี้
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้ ปตท.ต้องพิจารณาทบทวนการกำหนดเป้าหมายผลประกอบการใหม่โดยเฉพาะกำไร เนื่องจากยอดขายและส่วนต่างของกำไรผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของบริษัทในเครือลดลงเล็กน้อย
ขณะที่สถานการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก ปตท.คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตขณะนี้มากกว่าความต้องการใช้ โดยความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน น้ำมันเตาลดลง ส่งผลต่อยอดขายของ ปตท. แต่ความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจสายการบินเติบโต โดยเฉพาะในเอเชียที่สายการบินต้นทุนต่ำเติบโตมาก ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้ตลาดน้ำมันเครื่องบินเติบโตตามไปด้วย ซึ่งเป็นโอกาสของ ปตท.ที่จะเพิ่มยอดขายน้ำมันเครื่องบินเช่นกัน ขณะเดียวกันการใช้พลังงานของโลกได้ปรับเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทนอื่น ๆ ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่ผันผวนเหมือนที่ผ่านมา
ส่วนแผนการลงทุนปีนี้ที่จะเพิ่มเม็ดเงินลงทุนอีก 33,200 ล้านบาทนั้น ส่งผลให้งบประมาณการลงทุนของปตท.ปีนี้อยู่ที่ 104,000 ล้านบาท โดยวงเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น ปตท.จะลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสู่ยุคดิจิทัล อีกทั้งเป็นการเตรียมพร้อมการลงทุนพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะ 3 คาดว่าจะลงนามในสัญญาเดือนกรกฎาคมนี้ รวมถึงการเพิ่มทุนในบริษ้ท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือจีพีเอสซี ตลอดจนการลงทุนในกองทุนใหม่ต่าง ๆ ด้วย
สำหรับการขยายการลงทุนของ ปตท.จะเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องและ ปตท.มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งการลงทุนท่าเรือมาตพุดนั้น ถือว่า ปตท.เกี่ยวข้องและเชี่ยวชาญ เชื่อว่าจะสามารถบริหารได้ดี ส่วนการลงทุนในรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรด) เชื่อม 3 สนามบินนั้น ปตท.ไม่มีความชำนาญ แต่หากผู้ชนะประมูลมาเทียบเชิญให้ไปร่วมลงทุนในส่วนที่ ปตท.เกี่ยวข้องก็น่าสนใจ ซึ่งต้องศึกษาความเป็นได้ก่อนนำเข้าบอร์ด หากบอร์ดเห็นชอบก็สามารถดำเนินการได้.-สำนักข่าวไทย