กรุงเทพ ฯ 14 ม.ค. – ศุภาลัยยอมรับมาตรการ LTV ของ ธปท.กดดันตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้าง แต่เชื่อว่าผลกระทบไม่มาก พร้อมระบุยังไม่มีลูกค้าชาวจีนทิ้งเงินดาวน์
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ น่าจะทรงตัวมีมูลค่าการพัฒนาใกล้เคียงกันกับปีก่อนหน้า เนื่องจากมีหลายปัจจัยลบทั้งภาพรวมเศรษฐกิจที่มีความผันผวน แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และผลกระทบจากมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมีผลบังคับใช้เดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์รายย่อยบ้างแต่ผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากลูกค้าประมาณร้อยละ 90 เป็นการซื้อบ้านหลังแรก ส่วนลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 มีจำนวนไม่มาก และส่วนใหญ่มีความสามารถในการวางเงินดาวน์ร้อยละ 10 -20 ตามที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด ดังนั้น จึงเชื่อว่าผลกระทบจึงมีไม่มาก ประกอบกับปีที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์มีการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว โดยอัตราการปฏิเสธการให้สินเชื่ออยู่ที่ประมาณร้อยละ 9 ใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่คอนโดมิเนียมมีอัตราการปฏิเสธการขอสินเชื่อเพียงร้อยละ 4
ส่วนกรณีที่ ธปท.กังวลว่านักลงทุนชาวจีนที่ซื้อคอนโดมิเนียมอาจจะทิ้งดาวน์ เพราะความมั่งคั่งลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจนอาจทำให้เกิดภาวะคอนโดมิเนียมล้นตลาดได้นั้น ยอมรับว่าที่ผ่านมามีลูกค้าชาวจีนบางส่วนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อเก็งกำไร แต่ยังไม่พบว่ามีการทิ้งเงินดาวน์ และทำเลพระราม 9-รัชดาภิเษก เป็นทำเลที่ชาวจีนจองซื้อจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้ที่ดินทำเลดังกล่าวมีราคาแพงขึ้นมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท จากปีก่อน 33,300 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 28,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดินประมาณ 8,000 ล้านบาท
ด้านนายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คอนโดมิเนียมบางทำเลมีภาวะล้นตลาดบ้าง แต่ไม่น่าห่วงว่าจะเกิดวิกฤติ เพราะผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กำลังเร่งระบายสตอกคอนโดมิเนียมเหลือขาย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยยังต่ำ แม้จะขยับขึ้นเล็กน้อย ส่วนต้นทุนค่าก่อสร้างน่าจะทรงตัว และไม่น่าจะมีปัญหาแรงงานเหมือนหลายปีก่อนหน้า แต่ราคาที่ดินมีแนวโน้มปรับขึ้นจะส่งผลให้ราคาบ้านและคอนโดปรับขึ้นตาม ขณะที่ผู้ประกอบการที่ซื้อที่ดินต้นทุนสูงเกินไป หรือซื้อมากไปจะประสบปัญหาภาระหนี้ ภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่ต้องแบกรับ สินค้าคงคลังจำนวนมาก คาดว่าเจ้าของที่ดินที่ตั้งราคาขายที่ดินดิบในราคาที่สูงเกินจริง หรือเกินความเหมาะสมที่จะนำมาพัฒนาจะค่อย ๆ ปรับลดลงให้เป็นจริงมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย