สมุทรปราการ 3 ธ.ค.-หญิงวัย 68 ปี คลานขึ้นโรงพักแจ้งความจับลูกสาว อ้างถูกทำร้ายร่างกาย ด้านลูกสาว ยันไม่ได้ทำร้าย เผยแม่เป็นคนดื้อรั้น
เวลา 15.00 น. วันนี้ (3 ธ.ค.61) ที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ จู่ๆ ก็มีหญิงอายุ 68 ปี คลานขึ้นมาบนโรงพัก พร้อมร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปช่วยจับกุมลูกสาวของตนเอง ที่ทำร้ายตนเองจนบาดเจ็บ ด้วยการจับเหวี่ยงไปมา ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่อยู่บนโรงพักหลายสิบคน
หญิงคนนี้ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวพอจับใจความได้ว่า สามีของคุณยายนอนป่วยเป็นอัมพาตรักษาตัวที่โรงพยาบาล ในวันนี้ไปที่โรงพยาบาลเพื่อขอรับตัวสามีกลับบ้าน แต่ลูกสาวได้ตามไปที่โรงพยาบาล และห้ามไม่ให้ตนเองพาสามีกลับบ้าน เพราะโรคอัมพาตกลับบ้านไปก็รักษาไม่หาย แต่ตนเองไม่ยอมทำให้ลูกสาวเกิดความไม่พอใจ และจับเหวี่ยงไปมาด้วยความรุนแรง จนเวียนศีรษะคล้ายความดันขึ้น จากนั้นลูกสาวก็หนีกลับบ้าน จึงมาแจ้งความให้ทางตำรวจช่วยจับลูกสาวมาดำเนินคดี ในข้อหาทำร้ายบุพการี
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานทางเจ้าหน้าที่กูชีพมารับคุณยายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน เมื่ออาการดีขึ้นก็จะเชิญตัวมาสอบสวนหารายละเอียดอีกครั้ง และจะเชิญญาติหรือลูกหลานของคุณยายมาสอบสวนหารายละเอียดไปพร้อมกันด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังลูกสาวของคุณยายเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ลูกสาวของคุณยายยินดีเปิดเผย แต่ไม่สะดวกที่จะให้บันทึกภาพเป็นข่าว โดยเปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า คุณแม่เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อรั้น ตนเองนำพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ด้วยอาการเป็นอัมพาตมากว่า 15 ปี และมีแผลกดทับค่อนข้างลึก โดยเข้ารับการรักษามาประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว และทางคุณแม่ได้ไปเฝ้าคุณพ่อมาแล้วประมาณ 3 วัน ทางลูกๆ จึงตกลงกันให้รักษาตัวจนกว่าอาการจะดีขึ้น ค่อยออกจากโรงพยาบาล แต่ทางคุณแม่ไม่ยอมจะพาคุณพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนให้ได้ เมื่อพี่สาวที่เป็นเจ้าของไข้ ไม่ยอมให้พาคุณพ่อไปรักษา ทางคุณแม่จึงเกิดอาการไม่พอใจ และอาละวาดเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่าร่วมมือกับตนเอง
ส่วนกรณีที่ทางคุณแม่อ้างว่าลูกสาวทำร้ายนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพียงแต่ลูกๆ พยายามที่จะพาคุณแม่กลับบ้าน โดยการพยายามพาคุณแม่นั่งรถเข็นวิลแชร์ออกมาจากโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่ได้มีการแตะตัวคุณแม่เลย แต่ที่คุณแม่มีอาการแบบนี้น่าจะมาจากความเครียดที่เจอมรสุมชีวิตมาค่อนข้างหนัก คือ เมื่อก่อนคุณแม่ค่อนข้างมีฐานะ แต่เวลาผ่านไป ฐานะทางบ้านก็เปลี่ยนไป ไม่ได้มีโอกาสใช้จ่ายสะดวกเหมือนเดิม แต่ทางคุณแม่คงจะยังคิดว่าทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม จึงค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แม้กระทั่งการที่จะพาคุณพ่อไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน ที่มีค่ารักษาค่อนข้างสูง โดยที่ไม่ได้คิดว่าอาการของคุณพ่อนั้น หนทางรักษามีน้อยมากที่จะให้กลับมาหายเหมือนเดิม.-สำนักข่าวไทย