กรุงเทพฯ 9 พ.ย. – ผู้ค้าข้าวระบุปีนี้ถือเป็นปีทองของชาวนาไทยขายข้าวได้ราคาดี แนะรักษาคุณภาพข้าวไทยให้ดี แต่ยังกังวลคู่แข่งข้าวไทยเริ่มทำข้าวหอมได้ใกล้เคียงข้าวหอมไทยแต่ราคาต่ำกว่าไทยมาก ชี้ปี 62 ลดเหลือ 10 ล้านตัน
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้รายงานสถานการณ์ส่งออกข้าวในช่วงเดือนมกราคมถึง 23 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า ไทยส่งออกข้าวได้ 8.74 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ส่งออกได้ 8.73 ล้านตัน โดยยังคงมั่นใจว่าปีนี้ไทยจะส่งออกได้ 11 ล้านตันตามเป้าหมาย มูลค่า 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 177,000 ล้านบาท เนื่องจากประเทศผู้นำเข้ามีความต้องการข้าวเพิ่ม เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมทั้งประเทศในแถบแอฟริกา รัฐบาลมีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับรัฐบาลจีนต่อเนื่อง การระบายสตอกข้าวได้หมด ทำให้ผู้ซื้อตื่นตัวนำเข้าข้าว เพื่อเก็บสำรองมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2562 คาดว่าไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 10 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้กระทรวงเกษตรของสหรัฐ หรือยูเอสดีเอ ประเมินว่า การส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ 11 ล้านตัน เนื่องจากผู้นำเข้า 2 ประเทศสำคัญ ทั้งฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย น่าจะนำเข้าลดลงรวมกันถึง 3 ล้านตัน เพราะปีนี้นำเข้าข้าวไปเก็บสตอกไว้แล้วจำนวนมาก หลังจากฟิลิปปินส์เกิดภัยธรรมชาติและอินโดนีเซียจะเข้าสู่ช่วงรอยต่อการเลือกตั้งปีหน้า ทำให้ต้องคงสตอกข้าวไว้สำรอง เพื่อความมั่นคง รวมทั้งยังมีปัจจัยลบปัญหาขาดแคลนข้าวที่เป็นที่นิยมของประเทศผู้ซื้อและข้าวหอมมะลิไทยในตลาดที่มีจำกัด และมาตรการรัฐบาลในการชะลอข้าวไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อม ๆ กัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถือเป็นปีทองของชาวนาอย่างแท้จริง ซึ่งเพียงช่วงต้นฤดูราคาสูงถึง 17,500-18,000 บาทต่อตัน หากเทียบปีที่ผ่านมาในช่วงเดียวกันเฉลี่ยอยู่ที่ 12,000-14,000 บาทต่อตัน และแม้ว่าบางพื้นที่ชาวนาจะเหลือข้าวน้อย แต่ได้เข้าร่วมโครงการชะลอการขายข้าวเปลือกในยุ้งฉาง จนราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยสูงถึงตันละ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ผู้ซื้อชะลอ หรือหันไปซื้อข้าวหอมมะลิจากแหล่งอื่นแทน ซึ่งเวียดนามเริ่มเน้นการปลูกพันธุ์ข้าวหอมเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก แม้รูปลักษณ์จะไม่สวยเท่ากับหอมมะลิไทย แต่มีความหอมและนุ่มเช่นกัน ซึ่งราคาส่งออกเฉลี่ยเพียง 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเท่านั้น จึงเป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะราคาข้าวไทยแข่งขันได้ยาก โดยมองว่าราคาที่แข่งขันได้ควรเฉลี่ยที่ 850-900 ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนอยากเสนอให้รัฐบาลบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพราะแต่ละปีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจากการที่รัฐบาลส่งเสริมลดพื้นที่เพาะปลูกและการที่เกษตรกรหันไปปลูกพืชไร่ เช่า ยางพารา และอ้อยมากขึ้น ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นและซ้ำซากจนทำให้การคาดการณ์ตัวเลขผลผลิตเพาะปลูกข้าวจริงจึงไม่ชัดเจน หากข้อมูลเหล่านี้ชัดเจนการทำตลาดจะสะดวกและรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ในโอกาสที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ครบรอบ 100 ปี ในช่วงค่ำวันนี้ (9 พ.ย.) ที่ รร.ดุสิตธานี จะมีการจัดงานฉลอง “1 ศตวรรษแห่งความภาคภูมิใจ ปักธงข้าวไทยในเวทีโลก” เพื่อฉลองความสำเร็จของข้าวไทยที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในเวทีโลกมาอย่างยาวนาน โดยเชิญบุคคลสำคัญในวงการข่าวจากทั่วโลกมาร่วมงาน เพื่อสะท้อนบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมข้าวไทย พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำในการส่งออกข้าวของโลก โดยมีกิจกรรมไฮไลท์ คือ นิทรรศการ “รัชกาลที่ 9 กับข้าวไทย” เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย.-สำนักข่าวไทย