โรม 20 ก.ค.- หน่วยยามฝั่งอิตาลีเผยรู้สึกอึดอัดใจที่รัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายปิดท่าเรือไม่รับผู้อพยพทางทะเล หลังจากทำหน้าที่ประสานงานช่วยเหลือผู้อพยพหลายแสนชีวิตนอกชายฝั่งลิเบียตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งอิตาลีที่ขอสงวนนามให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ในประเทศเมื่อสัปดาห์ก่อน วิจารณ์รัฐบาลใหม่โดยเฉพาะรัฐมนตรีมหาดไทยสายขวาจัดที่ใช้นโยบายเข้มงวดกับผู้อพยพว่า ที่ผ่านมาอิตาลีถือว่าลิเบียเป็นประเทศไม่ปลอดภัยที่ผู้อพยพจะกลับไป ผู้อพยพจำนวนมากที่เสี่ยงชีวิตล่องเรือมาถึงยุโรปไม่อยากกลับไปลิเบียเพราะเสี่ยงถูกข่มเหงรังแกในค่ายกักกัน เป็นเรื่องน่าตำหนิที่ไม่มีคำสั่งอย่างเป็นทางการหรือการดำเนินการใด ๆ ต่อการที่รัฐบาลสั่งปิดท่าเรือไม่รับผู้อพยพ ตลอดหลายสัปดาห์มานี้หน่วยยามฝั่งได้แต่มองดูเรือผู้อพยพลอยลำกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยไม่สามารถทำอะไรได้
พล ร.อ.โจวานนี เปตตอรีโน ผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่งอิตาลีกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐบาลใหม่ในวันก่อตั้งหน่วยยามฝั่งครบ 153 ปีเมื่อวันพุธ ยกเรื่องราวเมื่อครั้งเรือดำน้ำซัลวาโตเร โตดาโรของกองทัพเรืออิตาลีเสี่ยงภัยเข้าไปช่วยผู้รอดชีวิตจากเรือที่เพิ่งยิงจมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วปิดท้ายว่าทหารเรืออิตาลีมีความเอื้อเฟื้อมาตลอด 2,000 ปี และจะทำต่อไป
เจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งอิตาลี 13,000 นาย ดูแลชายฝั่งประเทศที่ยาวถึง 8,00 กิโลเมตร ในจำนวนนี้กว่า 2,000 นาย เคยช่วยผู้อพยพนอกชายฝั่งลิเบียมาแล้ว องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) แจ้งว่า เดือนมิถุนายนปีนี้มีผู้อพยพเสียชีวิตหรือสูญหายกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 564 คน มากที่สุดในรอบหลายปี
ผลสำรวจหลายแห่งพบว่า ชาวอิตาลีราวสองในสามสนับสนุนนายมัตเตโอ ซัลวานี รัฐมนตรีมหาดไทยที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนเรื่องปิดท่าเรือไม่รับผู้อพยพ พรรคสันนิบาตขวาจัดของเขาที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลมีคะแนนนิยมถึงร้อยละ 30 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากเมื่อครั้งที่ได้ร้อยละ 17 ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม.- สำนักข่าวไทย