กรุงเทพฯ 25 เม.ย. – เอสซีจีระบุโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐปรับตัวดีขึ้น เชื่ออีก 6-9 เดือน การก่อสร้างที่อยู่อาศัยจะเกิดขึ้นตามมา ส่วนผลประกอบการไตรมาสแรกปี 61 ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน หวังปีนี้รายได้โตตามเป้าหมายร้อยละ 5-6
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ขณะนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีความคืบหน้าดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนตลาดบ้านที่อยู่อาศัย วัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากนี้ 6-9 เดือน ด้านความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชนในภาพรวม ซึ่งพิจารณาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์และเคมีคัลของเครือเอสซีจี ประมาณได้ว่าปรับตัวดีขึ้นเช่นกันแบบพอไปได้ ด้านการค้าชายแดนไทยภาพรวมก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เพราะตลาดประเทศเพื่อนบ้านมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนยังไม่เกิดขึ้นมาก แต่หากประเมินจากข่าวความสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หรือการลงทุนจากต่างประเทศคาดว่าจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่ภาครัฐมีความตั้งใจพยายามปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน จึงเชื่อว่าการลงทุนจะทยอยเข้ามาและส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาลงทุนของภาคเอกชนต่างประเทศ และเชื่อว่าภาคเอกชนในประเทศก็ติดตามและเห็นทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น
นายรุ่งโรจน์ ยอมรับว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี เพราะส่งออกมากกว่านำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังประมาณการปีนี้ว่ารายได้จะเติบโตร้อยละ 5-6 ตามเป้าหมายเดิม ซึ่งสถานการณ์เงินบาทปัจจุบันส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออกในภาพรวมของประเทศด้วยเช่นกัน สิ่งที่ผู้ประกอบการจะทำได้และเอสซีจี ดำเนินการอยู่ คือ ขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ เช่น ลงทุนโครงการปิโตรเคมี ในเวียดนามปีนี้ลงทุน 20,000 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างไตรมาส 3-4 จากงบลงทุนภาพรวมปีนี้ 50,000-60,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงความสามารถการแข่งขันให้ดีขึ้น มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่เพียงสินค้าและบริการเท่านั้น แต่รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยจะช่วยเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นในสินค้าและบริการที่มอบให้กับลูกค้า ซึ่งหวังว่าจะชดเชยการแข็งค่าของเงินบาทได้ มองอีกด้านมีผลกระทบระยะสั้นแน่นอน แต่ระยะยาวไม่อาจประเมินเงินบาทได้ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ส่วนจีดีพีของประเทศยังเชื่อว่าจะโตร้อยละ 3.9-4 ตามที่ภาครัฐประเมินเอาไว้
ส่วนงบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีไตรมาส 1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 118,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไร 12,406 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของธุรกิจเคมิคอล ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายเงินลงทุน
สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยไตรมาส 1 ปี 2561เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 27,014 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 จากยอดขายรวม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 20,075 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 จากยอดขายรวมสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีมูลค่า 584,251 ล้านบาท โดยร้อยละ 24 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน ทั้งนี้ แยกเป็นธุรกิจเคมิคอล มีรายได้จากการขาย 52,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 8,135 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 46,461 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 2,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสภาพตลาดที่ดีขึ้นตามฤดูกาล และการขยายตัวของการดำเนินงานในภูมิภาคอาเซียน และธุรกิจแพคเกจจิ้ง 21,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากตลาดเติบโตต่อเนื่องและผลจากการซื้อกิจการ ขณะที่ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายสินทรัพย์
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า แม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสภาพการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในไทยและในภูมิภาค ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าที่เข้ามากระทบ แต่ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2561 ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมาจากความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าสู่ลูกค้า โดยเร่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนานวัตกรรม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึกของลูกค้าทั่วอาเซียน สำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเปิดตัว “แอพพลิเคชัน HOME BUDDY” ที่เป็นช่องทางออนไลน์สำหรับปรึกษาปัญหา ค้นหาช่างหรือวัสดุเพื่อสร้างหรือซ่อมบ้าน ซึ่งเชื่อมต่อกับ SCG Online Store และ Digital Payment Solution เช่น SCG Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อและชำระ ค่าสินค้า หรือ “การนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้สำหรับการออกแบบติดตั้งหลังคาให้ลูกค้า” และการเปิดตัว “หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ” โดย SCG Eldercare Solution ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมพร้อมนวัตกรรมอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้านได้ใน “งานสถาปนิก’61” วันที่ 1-6 พฤษภาคมนี้ เมืองทองธานี
ส่วนโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เอสซีจีส่งมอบให้ลูกค้า เช่น “โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ” รายแรกของไทย หรือ “Total Packaging Solutions Provider” ที่ให้บริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ การผลิต และการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิล รวมทั้ง “SCG Express” ที่เตรียมขยายจุดบริการรับส่งพัสดุให้ลูกค้า รายย่อยแบบ One-Stop Service ในสถานีบริการน้ำมันกว่า 100 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจุดบริการครอบคลุมทั่วประเทศภายในกลางปีนี้ นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) โดยเน้นร่วมมือกับลูกค้าหรือสถาบันชั้นนำต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไตรมาสนี้มียอดขาย HVA 45,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวม โดยใช้งบประมาณการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 1,206 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม
ส่วนการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนนั้น ล่าสุดถือหุ้นเพิ่มเป็นร้อยละ 50.9 ในบริษัท Binh Minh Plastics Joint Stock Company ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายท่อและข้อต่อ PVC ชั้นนำทางตอนใต้ของเวียดนามและจัดตั้ง Trading Company โดยเข้าถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท PT Nusantara Polymer Solutions ในอินโดนีเซีย เพื่อจัดจำหน่ายเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายฐานสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้เจริญเติบโตได้ในอาเซียน รวมทั้งจัดตั้ง SCG Roofing Center ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งเป็นศูนย์บริการหลังคา ฝ้า ผนังครบวงจรแห่งแรกในต่างประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดและเปิดโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มประเทศเออีซี. – สำนักข่าวไทย