รัฐสภา 13 มี.ค.- สนช.เตรียมแก้ไขกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ให้เจ้าของขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงทุกตัว ป้องกันปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ และการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า คาดจะเสร็จสิ้นขั้นตอนของ สนช.ในเดือน มิ.ย. ก่อนส่งให้รัฐบาลต่อไป
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประธานคณะกรรมการติดตามกลไกและพิจารณาการปกป้องคุ้มครองสัตว์ เปิดเผยว่า เตรียมเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ในหมวดว่าด้วยการจัดสวัสดิภาพสัตว์ โดยให้เจ้าของสัตว์ทุกคนที่มีสัตว์ในครอบครอง ต้องขึ้นทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร หรือ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่อาจจะมีการฝังชิปติดตามที่ตัวสัตว์เลี้ยงทุกตัว ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่า ใครเป็นเจ้าของ หลังพบว่า มีสุนัจขและแมวถูกทอดทิ้งจำนวนมาก ล่าสุดทั่วประเทศมีจำนวนถึง 7-8 แสนตัว และเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ที่เลี้ยงโดยให้อาหาร แต่ไม่ถือว่าตัวเองเป็นเจ้าของ กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์เหล่านั้น รวมถึงปัญหาของการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า
“คณะกรรมการจึงเห็นว่า การขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงจะเป็นทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องบทลงโทษ ที่ไม่นำสัตว์เลี้ยงไปขึ้นทะเบียน ว่าจะมีความผิดทั้งทางอาญาหรือทางแพ่ง” นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ กล่าวว่า ส่วนสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของตามท้องถนน จะกำหนดให้องค์การส่วนท้องถิ่นมากักตัวไว้ 15 วัน แล้วให้คนมาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ และจะติดตามตรวจสอบด้วยว่า เจ้าของจะเลี้ยงอย่างไร ซึ่งจะมีข้อกำหนดห้ามไม่ให้เลี้ยงแบบปล่อยปะละเลยตามท้องถนนอีกแล้ว และว่า การขึ้นทะเบียนสัตว์ จะป้องกันปัญหาการทอดทิ้งสัตว์เลี้ยง สัตว์เหล่านั้นจะมีเจ้าของทุกตัว เมื่อเกิดโรคระบาด เจ้าของก็จะต้องนำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีน
นายวัลลภ กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดทำประชาพิจารณ์รับฟังแสดงความคิดเห็น ทั้งในเว็บไซต์ของรัฐสภา และจัดการสัมมนารับฟังความคิดเห็น ในวันพุธที่ 21 มีนาคมนี้ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการทำประชาพิจารณ์ ก็จะนำร่างกฎหมายเสนอต่อรัฐบาลทันที คาดว่า กระบวนการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ น่าจะเสร็จสิ้นในขั้นตอนของ สนช. ภายในเดือนมิถุนายนนี้
อย่างไรก็ตาม นายวัลลภ กล่าวว่า ตามร่างกฎหมายที่จะเสนอ อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเพิ่มภาระให้กับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น ขั้นตอนต่อมาอาจจะต้องมีการแก้กฎหมายการโอนสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดูแล เพื่อให้ส่วนท้องถิ่นสามารถของบประมาณในการดูแลได้ .- สำนักข่าวไทย
