21 พ.ย. – “ปานเทพ” เปิดหลักฐานใหม่ มัดตัวทนายตั้ม พบพิรุธสัญญาจ้างทำแอปฯ หวย 71 ล้าน หลายจุด เชื่อหวังแก้สัญญา “มาดามอ้อย” ภายหลัง แผนสูงหวังฮุบมรดกด้วย
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สื่อมวลชนและคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ออกมาเปิดโปงถึงประเด็นข้อพิรุธของทนายตั้มที่เชื่อว่า อาจจะมีการส่งพยานหลักฐานเท็จให้กับทางพนักงานสอบสวน โดยได้ระบุถึงสัญญาว่าจ้างทำ Application ขายหวยออนไลน์ที่เป็นที่มาของการโกงเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มเป็นตัวกลางในการทำสัญญาดังกล่าวกับบริษัททำ Application ขายหวยออนไลน์
แต่ปรากฏว่า ในตัวสัญญาต้นฉบับที่ทนายตั้มเก็บไว้นั้น ไม่ปรากฏการลงลายเซ็นในทุกหน้าของสัญญา อีกทั้งยังเว้นหน้าสุดท้ายเอาไว้เหลือพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้มีการลงลายเซ็นของคู่สัญญาปิดท้ายหน้า นอกจากนี้การลงนามสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น ทนายตั้มให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นคนละแผ่น โดยให้ฝั่งบริษัทเป็นคนลงนามก่อน แล้วค่อยมายื่นให้มาดามอ้อยลงนามทีหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการผิดวิสัยทางกฎหมายอย่างมาก และทนายตั้มในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็ควรจะต้องรู้ว่า การทำนิติกรรมสัญญาสองฝ่าย คู่สัญญาต้องเซ็นกำกับทุกแผ่นกระดาษเพื่อป้องกันการแก้ไขและลงนามสัญญาในแผ่นกระดาษเดียวกัน ยังไม่รวมถึงสัญญาต้นฉบับไม่มีการติดอากรแสตมป์และส่งให้คู่สัญญา
นี่จึงเป็นประเด็นที่ส่อพิรุธได้ว่า หากไม่มีการลงนามปิดท้ายใบหน้าสัญญาทุกแผ่นกระดาษนั้น ทนายตั้มอาจจะฉวยโอกาสในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อสัญญาใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสุดท้ายที่มีการเว้นว่างเอาไว้ซึ่งอาจจะมีการแต่งเติมข้อความในภายหลังโดยที่คู่สัญญาไม่รับทราบ อีกทั้งข้อสัญญาข้อ 1 ที่ระบุค่าจ้างทำ Application จำนวน 2 ล้านยูโรหรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 71 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าทนายตั้มและทนายสายหยุดได้ส่งต้นฉบับสัญญาดังกล่าวให้กับทางตำรวจและได้มีการตัดข้อความข้อที่ 1 ดังกล่าวออกไปหรือไม่ จึงอยากให้ทางตำรวจตรวจสอบพยานเอกสารสัญญาต้นฉบับของฝั่งทนายตั้มด้วย หากพบเป็นการแต่งเติมเอกสารขึ้นมาใหม่ด้วยการตัดทอนข้อความดังกล่าว อาจจะเข้าข่ายเป็นการให้การเท็จกับทั้งตำรวจ ซึ่งมีความผิดทางกฎหมายได้
ประเด็นต่อมาคือเรื่องของพินัยกรรม ตามที่มีการได้เปิดเผยไปแล้วว่า เชื่อว่าน่าจะมีพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ที่ทนายตั้มได้ระบุเอาไว้ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดกของมาดามอ้อย ในส่วนนี้อยากให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจค้นทั้งที่สำนักงานหรือที่บ้านพักของทนายตั้มว่า พินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ถูกทำลายไปแล้วจริงหรือไม่ และยังมีหลงเหลืออยู่หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่า ใบปะหน้าที่ลงนามระบุให้ตัวทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกจะยังอยู่ และจะสามารถนำมาใช้งานสวมรอยต่อไปได้ในอนาคต แม้ว่ามาดามอ้อยจะทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองไปแล้วก็ตาม แต่หากใบปะหน้าของพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ยังอยู่ อาจจะก่อให้เกิดปัญหาผลิตพินัยกรรมใหม่ในอนาคตได้
ดังนั้นจึงประกาศ ณ ตรงนี้ว่า มาดามอ้อยไม่ยินยอมให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกและเชื่อว่า พฤติการณ์ซุกพินัยกรรมของทนายตั้มนั้น ต่อให้เห็นว่านอกจากทนายตั้มเจตนาจะฉ้อโกงแล้ว ยังตระเตรียมที่จะปั้นพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีในอนาคตอีกด้วย จึงอยากจะให้ทางตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย
ประเด็นสุดท้าย อยากให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจสอบบุคคลรอบตัวของทนายตั้มทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพี่สาว ของทนายตั้มทั้งสองคน ทั้งคนที่ชื่อดาวที่ไปทำหน้าที่ขนเงิน 20 ล้านบาท จากจำนวน 39 ล้านบาทที่ธนาคารใน ศูนย์การค้าย่านลาดพร้าวไปเก็บไว้ที่บ้านย่านพุทธมณฑล ซึ่งยังพบอีกว่า ดาวมีเงินบัญชีหมุนเวียนในธนาคารมากถึง 50 ล้านบาท เรื่องนี้อยากให้ทางตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบและนำตัวดาวมาให้ปากคำ ทั้งเรื่องของเส้นทางการเงิน ที่มาของเงิน ใครคือผู้บงการให้ถอนเงิน และเงินจำนวน 20 ล้านบาทอยู่ที่ไหน โดยตนแนะนำว่า คนที่ชื่อดาวนั้น ควรให้การที่เป็นประโยชน์กับตำรวจ เพราะมิเช่นนั้น อาจจะถูกเปลี่ยนสถานะจากพยานบุคคลเป็นจำเลยร่วมได้
และนอกจากนี้ ก็อยากให้ตรวจสอบพี่สาวของทนายตั้มอีกคนที่ชื่อว่าอ้อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะเนื่องจากพบว่า ทนายตั้มเคยนัดแนะให้ลูกสาวของอ้อไปเกี่ยวดองแต่งงานกับลูกชายของมาดามอ้อยอีกด้วย
นายปานเทพ กล่าวปิดท้ายว่า ขณะนี้มาดามอ้อยได้เดินทางกลับไปยังฝรั่งเศสแล้ว แต่เชื่อมั่นว่าหลังจากนี้ ตำรวจสอบสวนกลางจะสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อให้ความจริงในคดีทนายตั้มปรากฏต่อไป.-415-สำนักข่าวไทย