กรุงเทพฯ 30 ต.ค.-คปภ.ระดมสมองภาครัฐ-เอกขน ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานในพิธีปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 12 ประจำปี 2567 หลักสูตรดังกล่าวมีผู้เข้าอบรมประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจประกันภัย
ได้เสนอรายงานวิชาการแบ่งเป็น 6 กลุ่ม 6 หัวข้อ ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 หัวข้อ “ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการประกันภัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในประเทศไทย” ความสำคัญของการประกันภัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Liability Insurance : ELI) เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมของไทย
กลุ่มที่ 2 หัวข้อ “การพัฒนากรอบธรรมาภิบาล AI สำหรับธุรกิจประกันภัย” เนื่องจากความก้าวหน้าของ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจประกันภัย สามารถประยุกต์ใช้ในธุรกิจประกันภัย ที่คำนึงถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ กลุ่มที่ 3 หัวข้อ “การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในกรมธรรม์และเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้อย่างครบถ้วน : กรณีประกันภัยสุขภาพ” การเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้ประชาชนรู้จักและซื้อประกันภัยสุขภาพมากขึ้น ทางกลุ่มได้ศึกษาถึงสภาพปัญหาของผู้ถือประกันภัยสุขภาพในเรื่องความเข้าใจในเนื้อหาของกรมธรรม์ สิทธิประโยชน์ และเงื่อนไขต่าง ๆ ตามข้อกำหนดในกรมธรรม์ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือกรมธรรม์ บริษัทประกันภัย และหน่วยงานกำกับดูแลในอนาคต
กลุ่มที่ 4 หัวข้อ “โครงงานศึกษาแพลตฟอร์มให้บริการวิเคราะห์ความต้องการและแนะนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ Insurance Penetration Rate ในไทย ได้แก่ การขาดความรู้ ความเข้าใจ การเข้าถึงข้อมูล และความสามารถทางการเงิน โครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยที่ไร้บุตรหลาน อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจครอบครัวและการวางแผนการเงินในระยะยาว ควรนำแพลตฟอร์มที่สามารถวิเคราะห์และแนะนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและความเข้าใจในประกันชีวิตของประชาชน
กลุ่มที่ 5 หัวข้อ “การส่งเสริมสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจประกันสุขภาพ (ภาคสมัครใจ) เพื่อรองรับการแข่งขันในภูมิภาคเอเชีย” โดยเล็งเห็นว่าประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจ มีประโยชน์ในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ช่วยให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ลดภาระงบประมาณของรัฐ และกลุ่มที่ 6 หัวข้อ “การสร้างความตระหนักในการพัฒนาความร่วมมือในธุรกิจประกันภัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อลดช่องว่างความคุ้มครองจากภาวะสูงอายุเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน” ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมสูงอายุ ทางกลุ่มจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาสังคมสูงอายุ และการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการประกันภัยเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน .-515 สำนักข่าวไทย