20 ต.ค. – สืบนครบาล รวบบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตำรวจ สภ.เมืองตาก หลอกมีพัสดุผิดกฎหมาย ให้โอนเงินตรวจสอบ สูญเงินกว่าล้านบาท
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส. นำโดย พ.ต.ท.ธีวร์ราธิป ชูดวง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อม ชุดปฏิบัติการที่ 2 จับกุมตัว น.ส.ลลิตา อายุ 22 ปี ภูมิลำเนา ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ 52/2567 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2567 ข้อหา “ร่วมกัน หรือ เป็นผู้สนับสนุน ในการกระทำความผิดฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ”
พฤติการณ์ ขณะนั้นผู้เสียหายอยู่ที่บ้าน และได้มีเบอร์โทรศัพท์โทรมาแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของขนส่งเอกชน มีพัสดุที่ส่งไปและไม่สามารถรับได้ พัสดุจึงตีกลับมาที่ต้นทาง ซึ่งต้นทางคือที่ บ้านหลังหนึ่ง หมู่ 3 ต.หนองหลวง อ.เมือง จ.ตาก โดยมีชื่อผู้เสียหาย เป็นผู้ส่ง ส่งไปที่บ้าน ม.1 ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี โดยพัสดุดังกล่าว ถูกอายัดไว้ ในพัสดุมีวีช่า 15 เล่ม ของชาวจีน และ บัตรเอทีเอ็ม 12 ใบ และสมุดบัญชีธนาคาร 12 เล่ม 1 ใน 12 เล่ม นั้นมีชื่อผู้เสียหาย 3 เล่ม ซุกซ่อนในผ้า 10 ชุด
เมื่อทราบดังนั้น ผู้เสียหายก็ตอบว่า ไม่ได้เป็นผู้ส่ง ด้วยความตกใจ จึงถามสายดังกล่าวว่าจะต้องทำอย่างไร ปลายสายแนะนำให้แจ้งความเนื่องจากถูกแอบอ้าง และเหตุเกิดที่ สภ.เมืองตาก ต้องไปแจ้งที่นู้น แต่ผู้เสียหายไม่สะดวกเดินทางไป ทางปลายสายจึงแจ้งว่า จะติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ และวางสายไป สักพักได้มีเบอร์โทรศัพท์ โทรมาซึ่งผู้เสียหายตรวจดูจากประวัติการโทรแล้วก็จำไม่ได้ว่าเบอร์ไหนโทรมา แจ้งว่าเป็นตำรวจชื่อ ร้อยตำรวจเอกภานุวัด เป็นตำรวจไซเบอร์เกี่ยวกับพวกมิจฉาชีพนี้อยู่ และแนะนำให้แอดไลน์จะได้คุยกันสะดวก โดยบอกให้ผู้เสียหายกดตามที่สายดังกล่าวบอก จนปรากฏชื่อไลน์ว่า สภ.เมืองตาก ผู้เสียหายจึงพูดคุยกับไลน์ดังกล่าว และวิดีโอคอลกัน โดยบุคคลดังกล่าวแต่งชุดตำรวจ และถ่ายบริเวณรอบๆห้องให้ดู โดยทางไลน์ดังกล่าว ถามว่าอยู่กับใครคนที่บ้านมีกี่คน และแจ้งให้ผู้เสียหายอยู่คนเดียว เนื่องจากถ้ามีบุคคลอื่นอยู่ด้วยอาจมีเสียงรบกวน เนื่องจากจะมีการบันทึกเสียงขณะสนทนากัน
ผู้เสียหายก็ทำตามขั้นตอนที่ไลน์ดังกล่าวแจ้ง คือ เข้าห้อง ล็อกประตู อยู่คนเดียวและคุยกัน ก็สอบถามประวัติผู้เสียหายต่างๆ ผู้เสียหายก็ให้รายละเอียดไปทั้งหมด และแจ้งผู้เสียหายว่า บัญชีธนาคารกรุงไทยของผู้เสียหายมีเงินหมุนเวียนในบัญชีหลายล้าน ต้องทำการตรวจสอบบัญชี โดยการโอนเงินในบัญชีดังกล่าวออกไปให้หมด เพื่อทำการตรวจสอบ และเมื่อตรวจสอบเสร็จจะได้รับเงินคืน และแจ้งว่าห้ามบอกใครเนื่องจากเป็นความลับของราชการ หากบอกคนอื่นจะมีปัญหา โดยผู้เสียหายจึงทำตาม และได้โอนเงิน ครั้งที่ 1 ไปยังบัญชีธนาคารชื่อบัญชี น.ส.ลลิตา จำนวน 500,000 บาท ครั้งที่ 2 จากบัญชีเดิมไปบัญชีเดิม จำนวน 500,000 บาท ครั้งที่ 3 จากบัญชีเดิมไปบัญชีเดิม จำนวน 60,000 บาท รวมจำนวน 1,060,000 บาท เมื่อโอนเสร็จแล้ว รอหลายชั่วโมงก็ยังไมได้รับเงินคืน จึงมั่นใจว่าถูกหลอก จึงได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดี
ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับว่าตนได้ทำการกู้ยืนเงินออนไลน์ในเฟซบุ๊ก จากนั้นได้ทำตามขั้นตอนและส่งเลขบัตรประชาชนหน้าหลังและได้สแกนใบหน้า จากนั้นตนทราบอีกทีก็มีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตนก็ไม่ได้ไปตามหมายเรียก จึงมีหมายจับออกมาและถูกจับตามหมายนี้ จากนั้นได้ตัวส่ง สภ.เมืองสุพรรณบุรี ดำเนินคดีต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ขอแจ้งเตือนภัยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะใช้วิธีการโทรมาแจ้งว่ามีพัสดุตกค้างที่เป็นของผิดกฎหมาย และไม่สามารถจัดส่งได้ ต้องแอดไลน์โทรฯ เข้ามากล่าวหาว่าส่งของผิดกฎหมาย และหลอกให้โอนเงินเพื่อเคลียร์คดี หรือโอนสายให้เคลียร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางโทรศัพท์ วิดีโอคอล จากนั้นก็ยังอ้างว่า คุณเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน จากนั้นก็จะให้โอนเงินตรวจสอบ ขอให้ประชาชนมีสติ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีนโยบายที่จะโทรหาผู้ถูกกล่าวหาและไม่มีการให้โอนเงินตรวจสอบเด็ดขาด และขอฝากเตือนสำหรับผู้ที่จะทำการกู้เงินออนไลน์ ให้ระมัดระวังถูกหลอกเป็นบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว ห้ามส่งรูปบัตรประชาชนและสแกนหน้าในการทำสมัครทางออนไลน์เด็ดขาด สุดท้ายขอให้ประชาชนมีสติ ไม่รีบ ไม่เชื่อ ไม่โอน.-สำนักข่าวไทย