รัฐสภา 31 ก.ค.-นายกรัฐมนตรี ขอบคุณ สปท.ที่ทำงานร่วมกัน ย้ำแผนปฎิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ เป็นภารกิจที่ต้องทำควบคู่กัน เพื่อเดินหน้าอนาคตประเทศ ย้ำตั้งคณะกรรมการปฎิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรับมอบงานจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ว่า ขอขอบคุณสมาชิก สปท. ที่ร่วมทำงานมากับรัฐบาลชุดนี้ แม้ระหว่างทางจะมีการลาออก หรือเสียชีวิตไปบ้าง และส่งต่อการปฎิรูปประเทศใน 11 วาระ ให้กับรัฐบาล เป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มี พ.ร.บ.ปฎิรูปประเทศ และพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อพัฒนาประเทศ ภายใต้กรอบตามความเหมาะสม มีเหตุผล มีธรรมาภิบาล นำศาสตร์พระราชา เข้าใจ เข้าถึง พัฒนามาใช้ ที่สำคัญ เน้นการพัฒนาคน ที่จะต้องมีคุณธรรม และจริยธรรม
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเหตุผลที่เข้ามาบริหารประเทศ ว่า เพราะเกิดวิกฤติ ทั้งปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เกิดความแตกแยกในสังคม ปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ ปัญหาความเลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งการแก้ปัญหาของรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย รัฐบาลได้ทำงานอย่างอดทน อดกลั้น เพื่อให้ประเทศเกิดความแข็งแกร่งขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจัดทำแผนต่าง ๆ จะต้องทำงานอย่างบูรณาการ มีเป้าหมาย เชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อวางรากฐานให้รัฐบาลต่อไป ซึ่ง ยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ได้เข้าไปควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดต่อ ๆ ไป แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์เพื่อหวังให้รัฐบาลชุดต่อไป ได้ทำงานตรงตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ส่วนเรื่องนโยบายของแต่ละพรรคที่จะใช้หาเสียง ก็เป็นแนวคิดของแต่ละพรรค แต่อยากให้ประชาชนคำนึงด้วยว่า หากจะเลือกตั้งควรจะมองว่าพรรคการเมืองเหล่านั้น ได้วางนโยบายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติหรือแผนพัฒนาฯฉบับที่ 12 หรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปฎิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ เป็นภารกิจคู่แฝด ที่จะต้องเดินหน้าควบคู่ไปด้วยกัน โดยยุทธศาสตร์ชาติ เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทาง ให้เดินตามกรอบ ขณะที่การปฎิรูป เปรียบเป็นเครื่องยนต์ ในการขับเคลื่อน โดยมีระบบควบคุม คือการออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้า เป็นเครื่องจักร เครื่องกล ที่แข็งแรง เป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ การวางแนวทางทั้งหมด เพื่อไปสู่การปฎิรูป ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือ
“ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นการกำหนดเป้าหมายอนาคต เป็นเข็มทิศนำทาง ไม่ให้ตกหลุมตกร่อง การปฏิรูปเปรียบเสมือนการจูนเครื่องยนต์ให้มันดี เป็นการใส่เทอร์โบเข้าไป ให้สามารถไปให้เร็ว ขณะเดียวกันต้องบำรุงรักษา ปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุด ซึ่งก็คือเรื่องของการทุจริต และเรื่องระบบบริหารราชการ ต้องแก้ไขไม่ให้หยุดชะงักระหว่างทาง ไม่ให้เสียบนสะพาน วันนี้เราอยู่บนสะพาน สะพานที่ คสช.สร้างไว้ ข้ามลำน้ำที่เชี่ยวกราก ต้องมีสะพาน เรากำลังทำสะพานให้เขาข้ามอยู่ แต่หากท้ายสุดเราจะตกสะพานไปเอง ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อเสร็จแล้ว สะพานก็ถูกทุบทิ้งอยู่ดี แต่ไม่เป็นไร ว่ายน้ำให้เป็นแล้วกัน ผมไม่กลัว เพราะผมว่ายน้ำเป็น ต้องดูแลตัวเอง แต่เอาประเทศมาก่อนเสมอ ทำไปเถอะ เชื่อผมสิ ธรรมะจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม จำไว้” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง การพิจารณาคดีของศาล ว่า ตนไม่เคยกล่าวหาว่าใครมีความผิด ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐานและขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล รัฐบาลทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับองค์กรอิสระในการทำงาน
“ตัดสินอย่างไรไปว่าตามศาล แต่ตอนนี้คนไทยชอบตัดสินไปเอง เมื่อเช้าก็ดูข่าวทีวีช่องหนึ่ง ในเว็บ ในเฟสบุ๊ค ตัดสินเองไปหมด ผมก็ปวดหัว แต่ต้องกลับมาถ่ายทอดให้กับรัฐมนตรี รัฐมนตรีก็ปวดหัวไปด้วย บางครั้งรัฐมนตรีก็รับไม่ไหว บอกกับผมว่า อย่าฟังทุกเรื่อง แต่จะไม่ฟังก็ไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ ปลุกระดมได้ทั้งสิ้น เขาไปปลุกระดมข้างล่าง ต้องให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบ ผมอ่านติดตามทุกฉบับ ถ้าสร้างประโยชน์ ผมก็นำมาปฏิบัติ ถ้าไม่สร้างประโยชน์ผมก็เฉย ๆ แต่ก็โมโห เพราะไม่รู้ว่าจะมีเจตนาบิดเบือนหรือไม่ แต่ก็ทำให้การทำงานมีปัญหาไปหมด” นายกฯ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการ ตามกรอบ พ.ร.บ.ปฎิรูปประเทศ และพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการมาทำงาน จะไม่มีการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง เพราะพิจารณาด้วยตนเอง ขอให้คณะกรรมการ ที่จะเข้ามาสานต่องานอีกครึ่งหนึ่งในวันนี้ ทำงานให้สำเร็จลุล่วง ให้การปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติเสร็จสมบูรณ์ และให้ถือเป็นผลงานประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจร่วมกัน ตนจึงอยากให้กำลังใจทุกคนในการทำงาน เพื่อเดินหน้าประเทศ และ ขอให้ทุกคนให้กำลังใจตนและคณะรัฐมนตรีด้วย
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกคนปรบมือให้กำลังใจทุกฝ่าย ที่ร่วมทำงานกันมาอย่างเต็มที่ ซึ่งตนพร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกคน แม้จะไม่อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว และขอให้ทุกคนช่วยปฎิรูปทั้งการศึกษา สาธารณสุข และลดความขัดแย้ง ใช้สติในการติดตามข่าวสารผ่านสื่อโซเซียล และย้ำว่าส่วนตัวพร้อมสู้ เพราะไม่คิดว่าจะทำอะไรผิด “ผมก็โดนเยอะ แต่ผมสู้ได้ ผมไม่คิดว่าผมจะทำอะไรผิด ผิดอยู่แค่วันเดียว คือวันที่ 22 พฤษภาคม”
ท้ายสุด นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนรับประทานอาหารร่วมกัน และขอให้จ่ายค่าชดเชย กับร้านค้าในรัฐสภา ที่ต้องหยุดขายในวันนี้ เพราะได้รับการร้องเรียนมาแล้ว .-สำนักข่าวไทย