กระทรวงการต่างประเทศ 24 พ.ย.-“ปานปรีย์” ปิดประชุมทูต-กงสุลใหญ่ทั่วโลก เตรียมเดินหน้าขับเคลื่อนผลประชุม นโยบายรัฐ ดันไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก เร่งปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชน
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกประจำปี 2566 หัวข้อการ “ทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” ซึ่งมีเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่จาก 97 สำนักงานทั่วโลกและผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุม ซึ่งนายปานปรีย์ได้กล่าวสุนทรพจน์ย้ำถึงบทบาทเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในการทำทีมประเทศไทยในต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนการทูตเชิงรุกให้ไทยกลับสู่จอเรดาร์โลกและเร่งหาโอกาสการค้าและการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
จากนั้นแถลงผลการประชุมว่า รัฐบาลได้บริหารประเทศมา 2 เดือนจึงจัดประชุมเพื่อให้สถานทูตและสถานกงสุลใหญ่รับทราบนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญด้านนโยบายการต่างประเทศในยุคใหม่ที่จับต้องได้ ตอบสนองผลประโยชน์ประเทศชาติและความอยู่ดีกินดีของประชาชนผ่านการดำเนินนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถพระราชทานพระราชวโรกาสให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ รวมทั้งผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาดุสิตดาลัยในช่วงเย็นวันนี้ โดยเมื่อวานที่ผ่านมาคณะทูตและอุปโทษได้ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตรลดา 904
“นายกรัฐมนตรีมอบหมายนโยบายทีมประเทศไทยด้านเศรษฐกิจ โดยย้ำความสำคัญการพูดเชิงรุกเพื่อให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของประชาคมระหว่างประเทศ มีสถานะศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับหุ้นส่วนการค้า นักธุรกิจนักลงทุนต่างชาติเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย โดยให้ร่วมกันระดมสมองกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินการในการส่งเสริมการค้าและดึงดูดการลงทุนต่างประเทศในบริบทความท้าทายด้านภูมิประเทศและภูมิศาสตร์และการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี และนายกรัฐมนตรีฟังผลการระดมสมอง ซึ่งผลการระดมสมองได้มีการกำหนดเป้าหมายด้านการค้าและการลงทุน 10 ประเทศเป้าหมายโดยพิจารณาจากศักยภาพและตลาดmega trend และยุทธศาสตร์การลงทุนของไทย ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเป้าหมาย แต่งเป็นตลาดที่ต้องรักษาไว้ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ส่วนตลาดที่มีศักยภาพได้แก่อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเกาหลีใต้ ขณะที่ตลาดศักยภาพใหม่คือประเทศซาอุดิอาระเบียและแอฟริกาใต้ ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนกับประเทศอื่น ๆ ที่มีความสำคัญกับไทยโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกรอบต่างๆ และจำเป็นต้องเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือประเทศในกลุ่ม oecd เพื่อยกกระชับโครงสร้างมาตรฐานของประเทศไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
นายปรานปรีย์ กล่าวว่า การประชุมตลอด 5 วันที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมภายใต้แนวคิดทีม thailand โดยเป็นการประชุมระหว่างเอกอัครราชทูตกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน และกิจกรรมทีมประเทศไทยพลัส เป็นการบวกกับภาคเอกชน โดยได้รับฟังความเห็นและความคาดหวังต่อบทบาทกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหน่วยงานราชการภาควิชาการในหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของโลกและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นการแข่งขันทางภูมิศาสตร์ การท่องเที่ยวและการค้าการลงทุน เศรษฐกิจดิจิตอลและ soft power เทคโนโลยีและนวัตกรรม โครงการแลนด์บริดจ์ ความมั่นคงทางด้านพลังงานและการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและคาร์บอนเครดิต
“การประชุมในครั้งนี้ถือว่าบรรลุเป้าหมายทุกประการ อีกทั้งยังได้หารือเกี่ยวกับโอกาสของไทยในการดำเนินนโยบายต่างประเทศยุคใหม่ในเชิงรุกและมองไปข้างหน้าโดยมีไทยเป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงภูมิภาคและมีบทบาทร่วมในประเด็นสำคัญของโลกและภูมิภาคเช่นการพัฒนาที่ยั่งยืนและการบรรลุเป้าหมาย SDG การสาธารณสุข เศรษฐกิจสีเขียวและความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน นอกจากนี้กงสุลใหญ่ยังได้แลกเปลี่ยนการทูตเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงการต่างประเทศและจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในสถานะโลกที่ผันผวนโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือและอพยพคนไทยในกรณีฉุกเฉินและการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
ส่วนการสื่อสารกับประชาชนหรือ public diplomacy เพื่อความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว นายปรานปรีย์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่รัฐบาลและตนให้ความสำคัญ โดยยินดีที่ทูตและกงสุลใหญ่หลายคนได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในหัวข้อที่เป็นที่สนใจทั้งเรื่องการให้ความช่วยเหลือคนไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลและในเล่าก์ก่าย ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ ความเชื่อมโยงระหว่างอนุภูมิภาคและในภูมิภาค การรุกตลาดใหม่และการส่งเสริม soft power ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะสื่อสารให้กับประชาชนให้มากที่สุดในเรื่องที่สำคัญผ่านช่องทางต่างๆให้ดียิ่งขึ้น และหลังจากนี้ทั้งกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตจะร่วมกันขับเคลื่อนผลการประชุมและนโยบายของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม.-สำนักข่าวไทย