กรุงเทพฯ 4 ส.ค.- กรมชลประทานคุมเข้มการใช้จัดสรรน้ำในอ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะ 5 เขื่อนหลักที่ปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% ของความจุ ย้ำขณะนี้มีน้ำเพียงพอใช้ แต่ต้องร่วมใจกันประหยัดน้ำรับมือ “เอลนีโญ” ส่วนในพื้นที่ EEC ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อผันน้ำเติมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลเพื่อกระจายน้ำกระจายน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค การเกษตร และการอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึง
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า มีความจำเป็นที่ต้องควบคุมการใช้น้ำอย่างเคร่งครัดเพื่อรองรับสภาวะเอลนีโญที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า จะต่อเนื่องไปถึงปี 2567 โดยจะทำให้ปีนี้มีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกัน 39,201 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 51 มีปริมาณน้ำใช้การได้รวม 15,260 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 29 แต่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่าร้อยละ 30 ของความจุมี 5 แห่งได้แก่ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนกระเสียว เขื่อนนฤบดินทรจินดา และเขื่อนปราณบุรีซึ่งจะจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเท่านั้น
ที่ผ่านมา กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 อย่างเคร่งครัด โดยบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขณะนี้มีฝนตกชุกขึ้นในหลายพื้นที่ซึ่งได้สั่งการให้เก็บกักไว้ให้มากที่สุด ยืนยันว่า มีน้ำใช้เพียงพอ แต่จำเป็นต้องร่วมใจกันประหยัด เพื่อให้มีปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ในอนาคตและสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน โดยจะประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้สั่งการให้สำนักเครื่องจักรกลและสำนักงานชลประทานที่ 9 ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ Hydro flow ขนาด 42 นิ้ว 2 เครื่องและเครื่องสูบน้ำขนาด 30 นิ้ว 1 เครื่องเพิ่มเติมบริเวณปากคลองผันน้ำเชื่อมอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จังหวัดระยอง เพื่อเร่งผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ไปเติมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลสำหรับเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำก่อนจะกระจายน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ต่อไป ขณะนี้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสร็จแล้วซึ่งจะช่วยให้การสูบผันน้ำไปเก็บกักในอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย