“ภูมิธรรม” รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก่อนแถลงเปิดโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ โวมีเสียงหนุนเพียงพอ โต้ “ก้าวไกล” เรื่อง ม.112 แสดงจุดยืนชัดมาตลอดว่าไม่เอา ส่วนจะยกมือโหวตให้หรือไม่ ถือเป็นเอกสิทธิ์ ไม่อยากกดดัน หากไม่โหวตให้เราเลยก็ได้ เราพูดในเงื่อนไขที่สุภาพ พร้อมย้ำกำหนด “ทักษิณ” กลับบ้าน ยังไม่เปลี่ยนแปลง รอครอบครัวแจง
3 ส.ค.66 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลื่อนแถลงจัดตั้งรัฐบาล ว่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ให้วินิจฉัยเรื่องของการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สามารถดำเนินการซ้ำได้หรือไม่ โดยศาลขอรายละเอียดเพิ่มเติม และจะเลื่อนไปพิจารณาในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ จึงได้ประสานไปยังประธานรัฐสภา และได้คำตอบว่า ต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน จึงต้องเลื่อนวาระการโหวตนายกรัฐมนตรีออกไป แต่คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากวันที่ 16 สิงหาคม น่าจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น เมื่อการโหวตเลื่อนออกไป ทุกอย่างก็ไม่ควรจะทำอะไรให้มาก ควรจะรอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน
ส่วนที่หลายฝ่ายหวั่นใจว่า เสียงจะไม่พอ ขอยืนยันว่า เสียงที่เรามีเพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อเลื่อนการประชุมออกไป ก็มีเวลาทำงานมากขึ้น เพราะการแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย ยิ่งได้มากก็ยิ่งดี รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และประธานสภาฯ กำหนดวาระการประชุม เราก็พร้อมที่จะแถลงข่าวร่วมการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่า เสียงที่รวบรวมไว้พอจะเปิดเผยได้หรือไม่ว่ามีพรรคใดบ้าง นายภูมิธรรม กล่าวว่า รออีกสักหน่อยก็คงดี แต่ก็ยอมรับว่า มีเสียงจาก 8 พรรคร่วมเดิมจำนวนหนึ่งพอสมควร และมีเสียงจากขั้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิมฝั่ง 188 เสียง อีกจำนวนหนึ่ง และต้องมีเสียง สว.อีก เนื่องจากเราอยู่ภายใต้วิกฤตการณ์ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่กำหนดเงื่อนไขว่าต้องได้เสียงเกิน 375 เสียง เสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราอยากให้ได้มั่นคงและมากขึ้นที่สุด เพราะการมีเสียง สส. จะทำให้เกิดรัฐบาลที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำหนดทิศทางการทำงาน สามารถบริหารทิศทางการทำงานทั้งหมดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังต้องบวกเสียง สว. อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยากได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เห็นว่า เราเป็นรัฐบาลที่สามารถเข้ามากู้วิกฤติได้ ภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งก็จะทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายลงไป
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าไม่มีทั้ง 2 ลุง เข้าร่วมรัฐบาล นายภูมิธรรม กล่าวว่า รอการตัดสินใจที่ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร วันนี้เราพยายามแสวงหาความร่วมมือ แต่เราก็รู้ว่ามีข้อจำกัด และยังมีข้อที่เป็นปัญหาของประชาชนอยู่ เราต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วย
เมื่อถามว่า หากไม่นับรวมเสียง สว. จะต้องหา สส. เพิ่มหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า รอการแถลงรายละเอียด แต่การแสวงหาความร่วมมือ แสดงให้เห็นถึงฉันทามติในการจัดตั้งรัฐบาล
นายภูมิธรรม ยังชี้แจงถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลระบุว่า ตนไม่ง้อเสียงโหวตจากพรรคก้าวไกล ยืนยันไม่เป็นความจริง ตนได้ชี้แจงไปแล้วว่า การแยกตัวครั้งนี้ เมื่อเรายุติ MOU ถือว่าทุกฝ่ายเป็นอิสระต่อกัน ส่วนพรรคก้าวไกลจะโหวตหรือไม่โหวต ถือเป็นเอกสิทธิ์ สิ่งสำคัญคือ เราอยากสร้างมิติทางการเมืองใหม่ เรากับพรรคก้าวไกลสามารถที่จะทำงานการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ เรายินดีที่จะสนับสนุน ไม่จำเป็นที่จะต้องยืนฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แล้วคัดค้านกันไปตลอด อีกทั้งตนยังยกตัวอย่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องการแก้ เพื่อปลดล็อกปัญหาประเทศ ตนพร้อมสนับสนุน และคุณก็ต้องสนับสนุนด้วยเช่นกัน เพราะคิดว่าเป็นปัจจัยร่วมที่เป็นวาระแห่งชาติ ต้องร่วมกันทำ ส่วนกฎหมายที่ตกลงกันใน MOU ที่ตรงกับนโยบายพรรคเพื่อไทย หรือกฎหมายอื่น ที่ไม่ได้พูดไปใน MOU เราก็ยินดีสนับสนุน แต่ปัญหาที่เราไม่เอาแน่นอน คือ มาตรา 112 เพราะเราปฏิเสธมาตั้งแต่ MOU ครั้งแรกว่า เราไม่เซ็น แต่พอ MOU ครั้งที่ 2 ก็บรรจุใส่มาอีก เราก็บอกแล้วว่า เราไม่สะดวกใจที่จะเซ็น เพราะเราไม่เห็นด้วย และได้ยืนยันไปว่า ถ้ามีเรื่องมาตรา 112 เราไม่โหวตให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ดี เราจะโหวตให้ เพราะฉะนั้น เราจึงบอกว่า การตัดสินใจครั้งนี้ ถ้าจะโหวตให้เรา เราก็ขอบคุณดีใจ แต่ถ้าไม่โหวต เราก็ไม่ถือโทษโกรธใคร ถือเป็นเอกสิทธิ์ ที่พูดทั้งหมดเป็นแบบนี้ เรื่องในที่ประชุมก็มีนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ทั้งหมดยืนยันในสิ่งที่ตนพูดได้ อันนี้เป็นข้อเท็จจริง
ส่วนที่นายชัยธวัช ออกมาระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยบอกให้พรรคก้าวไกล ถอยมาตรา 112 และมีการฉีก MOU ยืนยันไม่เป็นความจริง มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก่อนจะย้ำว่าใน MOU ครั้งแรก เราชัดเจน ถ้ามีมาตรา 112 เราไม่เซ็น และจะขอสงวนสิทธิ์ ไม่ร่วมใน MOU ข้อนั้น จึงได้มีการถอนออกไป ส่วน MOU พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ก็ใส่มาอีก ซึ่งเราก็ปฏิเสธ เราได้แสดงท่าทีของเรากับพรรคก้าวไกลอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่า มาตรา 112 เราไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมเซ็น ส่วนจะไปแก้อะไร ก็ไปทำกัน ถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค อันนี้เราพูดจากันชัดเจน อีกทางพรรคเพื่อไทยที่ได้รับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล ก็ได้พูดคุยกับหลายพรรคการเมือง ซึ่งทุกคนก็ย้ำว่า หากมีมาตรา 112 ไม่เซ็น ซึ่งก็ได้แจ้งทางพรรคก้าวไกลแล้วว่า แต่ละพรรคมีความเห็นอย่างไร แต่ถ้าก้าวไกลยังตอบกลับมายืนยันว่า การแก้ไข ม.112 ไม่ใช่ประเด็น เพราะหากไม่มี ม.112 ก็มีประเด็นอื่นอีก
เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกล บอกว่า พรรคเพื่อไทยมีความกังวล หากพรรคก้าวไกลโหวตให้ สว.บางคนอาจไม่สบายใจ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราบอกแล้วว่าถ้าโหวตให้เราก็ขอบคุณและยินดี แต่ถ้าไม่โหวตให้ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นเอกสิทธิ์ เพราะตอนนี้เราดำเนินการหาเสียง อย่าถือว่าเราไปกดดัน หากไม่โหวตให้เราเลยก็ได้ เป็นสิ่งที่เราต้องไปแสวงหาความร่วมมือ เป็นการพูดในเงื่อนไขที่สุภาพ และไม่กดดันกัน ถือเป็นสิทธิที่จะเพิ่มหรือลดคะแนนให้กับเรา ก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนที่สุด ไม่มีอะไรเคลือบแฝง
เมื่อถามว่า หากพรรคก้าวไกลไม่โหวตสนับสนุนให้ เราก็จะหาคะแนนเสียงจากพรรคร่วมฯ และ สว. เป็นหลักใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกพรรคที่เข้ามาในสภาฯ ตอนนี้ เป็นตัวแทนจากประชาชนที่มีความคิดหลากหลาย เพราะฉะนั้น ถ้าเราเดินหน้าไปได้ ประเทศต้องมีความปรองดอง เพราะฉะนั้น การฟังความคิดของทุกพรรคการเมือง ของทุกกลุ่ม ก็เป็นเรื่องที่ดี และถ้าเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาจากการยอมรับความคิดที่หลากหลาย ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาทุกพรรค ก็อยู่ที่ว่าพรรคไหนจะร่วมกันอย่างไร หรือสังคมได้ความเข้าใจและเห็นว่าการร่วมมือกันไปสู่ทิศทางใดก็จะเป็นคำตอบ
เมื่อถามถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉการเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินของนายเศรษฐา ทวีสิน จะมีผลต่อการพิจารณาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายเศรษฐา ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเดิม ซึ่งก็ทราบว่าได้มีการแถลงออกมาแล้ว จึงเป็นเรื่องที่นายเศรษฐาและบริษัทต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย เมื่อเห็นรายละเอียดต่างๆ แล้ว เราไม่คิดว่ามีปัญหาอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการและกฎหมาย
เมื่อถามถึงกำหนดการเดินทางกลับบ้านของนายทักษิณ ชินวัตร ว่ายังคงเป็นวันที่ 10 สิงหาคม อยู่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ก็เป็นเรื่องของครอบครัว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง ส่วนนายทักษิณ และครอบครัว จะตัดสินใจอย่างไร ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ขณะนี้เท่าที่ทราบ เท่าที่ทุกคนรู้ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง.
ภาพ : ชำนาญวุฒิ สุขุมวานิช