เชียงใหม่ 15มิ.ย. – “พิธา” เผยพบภาคสังคม ภาคท่องเที่ยว และกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้รู้ปัญหาเชียงใหม่ชัดขึ้น พร้อมเผยตื้นตันด้อมส้มแห่ต้อนรับล้นหลาม ยันจะทำหน้าที่แก้ปัญหาให้ชาวเชียงใหม่ ตั้งใจทำงาน ไม่คิดใช้ประชาชนเป็นเกราะกำบัง ปัดลงพื้นที่วัดกับเพื่อไทย
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมประชุมกับภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเชียงใหม่ ที่อาคารเชียงใหม่ศิริพานิช ว่าเป็นวันที่มีประสิทธิภาพมาก มีโอกาสได้พูดคุยกับทั้งสภาลมหายใจ ดูเรื่องแก้ปัญหา PM2.5 และภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และสภากลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้มีความน่าสนใจและเกี่ยวข้องกัน
สำหรับการก่อตั้งฮับนานาชาติที่เชียงใหม่ ถือเป็นนโยบายของชาติอาเซียนในการต่อสู้เรื่องมลพิษทางอากาศของอาเซียนร่วมกัน ซึ่งมีองคาพยพมานานแล้วที่ได้ต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2004 นี่ก็กว่า 20 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีประเทศไหนสนใจในเรื่องนี้ จึงเสนอที่จะตั้งศูนย์ที่ไทยในเชียงใหม่ เพราะใกล้กับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นจังหวัดที่มีผลกระทบอย่างหนักด้วย อย่างน้อยตั้ง 4 เดือนที่ต้องเผชิญฝุ่นพิษ ตั้งแต่ธันวาคมถึงเมษายน ตอนตนมาสงกรานต์ก็กลายเป็นผู้ประสบภัย ถือว่ารับทราบปัญหาอย่างดี เชื่อว่าถ้าตั้งฮับแล้วจะแก้ได้ทั้งระดับประเทศ ในประเทศและท้องถิ่นได้ด้วย ซึ่งต้องมีการกระจายอำนาจ กระจายภารกิจ และกระจายงบประมาณ รวมถึงกระจายบุคลากร เชื่อมั่นทำได้ก็แก้ปัญหาได้เร็วขึ้น
ส่วนการชูท่องเที่ยวแบบวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์นั้น นายพิธา เชื่อเป็นแนวทางในการท่องเที่ยวแบบใหม่ เพื่อกระจายรายได้และยกระดับสิทธิพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ และให้คนชั้นกลางได้เข้าใจวิถีพวกเขามากขึ้น ส่วนตัวตนจะชอบเที่ยวชมวิถีของชาวลาหู่หรือลีซอบ้างถ้ามีโอกาส
สำหรับการลงพื้นที่ภาคเหนือ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ ที่มีด้อมส้มมาต้อนรับอย่างล้นหลามนั้น นายพิธา บอกว่า ด้วยความตื้นตันใจดีใจที่ให้การต้อนรับพวกเรา แต่หลังเลือกตั้งต้องบริหารจัดการแก้ไขปัญหาให้ชาวเชียงใหม่ทุกคนทั้งคนที่เลือกและไม่ได้เลือกเรา ที่ต้องดูทั้งการท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม และสาธารณสุข
ส่วนที่คนมองว่าใช้มวลชนมาเป็นเกราะกำบังป้องกันตนเองในเรื่องคดีหุ้น นายพิธา กล่าวว่า ตนตั้งใจทำงานและการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ทุกการประชุมตนทำการบ้านมาก่อน จึงได้พบว่าเชียงใหม่ก่อนโควิด รายได้หายไปครึ่งหนึ่ง ปัญหาการท่องเที่ยวเชียงใหม่สะท้อนได้ดี ถ้าตนจะใช้ประชาชนเป็นเกราะกำบังคงไม่ต้องทำการบ้านมาขนาดนี้
ส่วนเรื่องเอกสารที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นฟ้อง นั้น ตนยังไม่เห็นรายละเอียดเอกสาร ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวยังไง ก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่อยู่ในกระบวนการอยู่แล้ว ทุกอย่างก็ว่ากันไปตามกฎหมาย
ส่วนที่ถูกมองว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อวัดฐานเสียงกับเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า เป็นการมาวัดปัญหาและวัดศักยภาพของแต่ละพื้นที่มากกว่า พอมารู้ว่าแต่ละพื้นที่มีปัญหาอย่างไร มาแต่ละครั้งตนก็ต้องการที่จะรู้ว่าปัญหาที่ต้องแก้คืออะไร นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า
ส่วนการเลือกผู้ว่าเชียงใหม่นั้นมีแน่นอน แต่ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ อย่างเดียว จะต้องมีการกระจายอำนาจโดยยึดโยงกับประชาชนด้วย.-สำนักข่าวไทย