สำนักข่าวไทย 16 มี.ค. – รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เผยคนไทยเข้าใจสิทธิการตายมากขึ้น ผ่านมา 16 ปี นับแต่มี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มีคนประสงค์ทำหนังสือออกแบบการรักษาตนเอง เพื่อไม่ยื้อทรมาน 10,000 ฉบับ
นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวถึงความคืบหน้าสิทธิการตาย จากการเรียนรู้จากข่าวสารวัตรคลั่ง ที่บาดเจ็บสาหัสและอาการหนัก ญาติตัดสินใจไม่ยื้อทรมาน ว่า หลังจากมีการใช้มาตรา 12 ใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 ผ่านมา 16 ปีแล้ว ต้องถือว่าประชาชนและญาติมีความเข้าใจเรื่องสิทธิการตายมากขึ้น โดยเนื้อหาของมาตรา 12 ระบุว่าบุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง ทำให้ผู้ป่วยในปัจจุบันนิยมเขียน และสั่งญาติไว้ก่อนเข้ารับการรักษาเมื่อมีสติครบถ้วน ว่า อยากให้รูปแบบและแนวทางการรักษาของตนเป็นอย่างไร เพื่อสถานพยาบาลทำตามความประสงค์ ซึ่งมีการเขียนในรูปแบบของหนังสือและลายลักษณ์อักษรมากกว่า 10,000 ฉบับ
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า การออกแบบจุดหมายปลายทางของชีวิตไว้ล่วงหน้า ว่าไม่ประสงค์รับบริการการรักษาแบบใด มีประโยชน์อย่างมาก 1.เป็นการเคารพสิทธิของตัวบุคคล และทำให้การตายสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 2.ผู้เกี่ยวข้อง ญาติเองก็ได้ทำตามความต้องการของผู้ตาย และ 3.ผู้ให้การรักษาก็ได้ทำตามความประสงค์ ลดความขัดแย้งกับญาติ และที่จะเกิดการฟ้องร้องในที่สุด โดยที่ผ่านมาหลังจากมีความเข้าใจเรื่องสิทธิการตายมากขึ้น ทำให้ปัญหาการฟ้องร้องระหว่างหมอกับคนไข้ลดลง แต่ไม่สามารถระบุถึงจำนวนได้เนื่องจากยังไม่มีการเก็บข้อมูล ส่วนกรณีผู้ตายไม่ได้มีการทำหนังสือหรือแจ้งความประสงค์ไว้ ก็เป็นหน้าที่ของแพทย์ต้องทำความเข้าใจกับญาติ บอกให้ญาติเข้าใจถึงสภาวการณ์ในปัจจุบันของผู้ป่วย ว่า ขณะนี้ผู้ป่วยมีสติสัมปชัญญะไหม โอกาสรอดชีวิตมีมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และไม่เป็นการยื้อทรมาน แต่อุปสรรคสำคัญของเรื่องสิทธิการตายขณะนี้ คือ เรื่องของความเชื่อ เนื่องจากบางคนกลัวว่าจะเป็นลาง หรือเป็นการแช่งตัวเองและญาติ ดังนั้น ต้องสร้างความเข้าใจและขจัดความเชื่อเหล่านี้ให้หมดไป.-สำนักข่าวไทย