กรุงเทพฯ 31 ม.ค. – กทม. ตรวจต้นตอฝุ่นต่อเนื่อง กำชับปรับการพยากรณ์ให้แม่นยำขึ้น ประสานงานพื้นที่รอบนอกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใกล้ชิด
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 4/2566 ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร ว่า สถานการณ์ PM2.5 ในช่วงนี้ (1-4 ก.พ.) มีฝุ่นรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ปิด รวมถึงมีการเผาชีวมวล และหลังจากวันที่ 5 ก.พ.66 สถานการณ์จะบรรเทาลงถึงดีขึ้น เนื่องจากลมอาจมีการเปลี่ยนทิศ
อย่างไรก็ตาม ทาง กทม.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน มีการตรวจแหล่งกำเนิดมลพิษ (ต้นตอฝุ่น) 2 ครั้ง/เดือน ดังนี้ สถานประกอบการ/โรงงาน 1,044 แห่ง ตรวจสอบจำนวน 4,028 ครั้ง สั่งปรับปรุงแก้ไข 7 แห่ง ตรวจแพลนท์ปูน 133 แห่ง จำนวน 522 ครั้ง สั่งปรับปรุงแก้ไข 16 แห่ง ตรวจสถานที่ก่อสร้างโดยสำนักการโยธา 399 แห่ง จำนวน 392 ครั้ง สั่งปรับปรุงแก้ไข 1 แห่ง ตรวจสถานที่ก่อสร้างโดยสำนักงานเขต 274 แห่ง 773 ครั้ง สั่งปรับปรุงแก้ไข 26 แห่ง ตรวจถมดินท่าทราย 9 แห่ง รวม 67 ครั้ง ตรวจควันดำในสถานที่ต้นทาง 1,288 คัน พบเกินค่ามาตรฐานและสั่งให้ปรับปรุงแก้ไข 10 คัน ตรวจควันดำรถยนต์ 58,871 คัน สั่งห้ามใช้ 1,245 คัน ตรวจรถโดยสารประจำทาง 9,269 คัน สั่งห้ามใช้ 43 คัน ตรวจรถบรรทุก 31,072 คัน สั่งห้ามใช้ 135 คัน (ข้อมูล ณ 30 ม.ค. 66) ทั้งนี้ เรามีการตรวจต้นตอฝุ่นอย่างต่อเนื่อง และทำแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนได้ใช้กัน
สำหรับสิ่งที่กำชับให้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น คือ การพยากรณ์ฝุ่นควรมีความแม่นยำมากขึ้น เพราะส่งผลต่อการเตือนภัยประชาชน และการประสานงานขอความร่วมมือจากพื้นที่รอบนอกเรื่องการเผาชีวมวล
ด้านแนวทางการรับมือกับฝุ่นในช่วง 2-3 วันนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ขอความร่วมมือในการทำงานแบบ Work from Home เพื่อลดการเดินทาง โดยเราได้ประกาศขอความร่วมมือบนช่องทางการสื่อสารของ กทม. และมีเครือข่ายติดต่อกับบริษัทต่าง ๆ เพื่อขอความร่วมมือด้วย ตอนนี้มีบริษัทที่ให้ความร่วมมือทำงานแบบ Work from Home จำนวน 33 บริษัท อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่รุนแรงถึงขั้นต้องประกาศปิดโรงเรียน
ส่วนการป้องกันผลกระทบจากฝุ่น ทางสำนักอนามัยได้มีการแจกหน้ากากอนามัยแก่กลุ่มเปราะบางไปแล้วกว่าล้านชิ้น รวมถึงสำนักการแพทย์ได้มีการเปิดคลินิกฝุ่น (คลินิกมลพิษทางอากาศ) ในโรงพยาบาล 5 แห่ง (โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และโรงพยาบาลสิรินธร) และมีหน่วยงานลงตรวจต้นตอฝุ่นอยู่ตลอด ซึ่งสุดท้ายแล้วการลดต้นตอฝุ่นบางเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น รถยนต์ใน กทม. หรือขนส่งมวลชน หากจะเปลี่ยนเป็นการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) กทม.อาจมีส่วนเพียงการสนับสนุนในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจไม่สามารถทำได้ในระยะสั้น แต่เป็นการวางแผนในระยะยาว ทั้งนี้ ในด้านการวิจัย เราจะต้องรู้ให้ชัดว่าต้นตอของฝุ่นนั้นมีองค์ประกอบจากอะไรเป็นหลัก เพื่อให้แก้ไขได้อย่างตรงจุด ในส่วนนี้นักสืบฝุ่นได้พยายามวิเคราะห์หาคำตอบ และเราได้หารือกับกรมควบคุมมลพิษอยู่อย่างต่อเนื่อง. -สำนักข่าวไทย