ทำเนียบรัฐบาล 19 ส.ค.-“นพ.อุดม” เผยประชุมศบค.ใหญ่วันนี้ จะพิจารณาแผนรองรับประกาศโควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง 1 ต.ค. นายกฯ เห็นด้วยเบื้องต้นแล้ว ยกเลิก ศบค.- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กลับไปใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยว่า ประชุมศบค.วันนี้(19 ส.ค.) จะพิจารณาประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ โดยจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และยุบ ศบค. แล้วกลับมาใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งเรื่องดังกล่าว พล.อ.เอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศบค. เห็นด้วยในหลักการเบื้องต้น
“เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อจำนวน 6-7 หมื่นคนทั้งในและนอกระบบ อาการไม่รุนแรง ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะอยู่อีกประมาณ 1 เดือน และจะลดลงในช่วงเดือนตุลาคม คาดว่า ผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลจะต่ำกว่า 1,000 คน ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณวันละ 10 คน เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ทั้งนี้ วันที่ 1 ต.ค. นี้ โควิด-19 จะเป็นโรคเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น ซึ่งการจะเป็นโรคประจำถิ่นต้องใช้เวลาอีกซักระยะ ขณะเดียวกันหน้ากากอนามัยยังมีความจำเป็น” นพ.อุดม กล่าว
นพ.อุดม กล่าวว่า วันนี้จะเสนอแนวทางปฏิบัติเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะหลังพ้นการระบาดใหญ่ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ให้คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขณะนี้มีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่า กว่าจะพบแพทย์และได้รับยาค่อยข้างยาก ยืนยันว่าอย่ากังวลเรื่องยา เพราะได้กระจายยาไปอย่างทั่วถึงแล้ว แต่ที่มีปัญหาว่า ไม่ได้รับยานั้นเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ซึ่งวันที่ 1 ก.ย.นี้จะเปิดให้ผู้ป่วยสามารถรับยาได้ที่ร้านขายยาที่อยู่ในเครือข่ายของกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นการจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์
“ขณะเดียวกัน ยังมีแอปพลิเคชั่น Clicknic ซึ่งจะครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งผู้ป่วยสีเขียวและกลุ่มผู้ป่วย 608 ส่วนแอปฯ MorDee จะรับเฉพาะผู้ป่วยสีเขียวและ แอป Good doctor จะรับผู้ป่วย ในกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งทั้ง 3 แอปพลิเคชั่น จะได้พบแพทย์ และบริการส่งยาถึงบ้าน ทำให้ผู้ป่วยสะดวกมากขึ้นไม่ต้องเดินทาง ส่วนเรื่องวัคซีน อยากให้ทุกคนเข้ารับวัคซีน เพราะสามารถช่วยให้อาการป่วยไม่รุนแรงได้ ซึ่งขณะนี้ทั้งโลกผู้ป่วยไม่มีอาการรุนแรง เพราะได้รับวัคซีน และจะไม่มีอาการลองโควิด ซึ่งการเป็นลองโควิดทำให้นอนไม่หลับ สมองไม่ปลอดโปร่ง ทำงานไม่ได้ ทำให้เกิดผลเสียทางด้านสุขภาพ รวมไปถึงทางด้านเศรษฐกิจ เพราะถึงอย่างไร โควิดไม่มีทางเป็นศูนย์ ทุกคนต้องดูแลสุขภาพตัวเอง ตามมาตรการของสาธารณสุข
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวาระการประชุมวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะรายงานสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาด ความคืบหน้าในการจัดทำนโยบาย แนวทางปฏิบัติเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะหลังพ้นการระบาดใหญ่ (Post-Pandemic) เพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ส่วนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะรายงานความก้าวหน้าการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย รวมทั้งมีวาระเพื่อพิจารณาหลายเรื่อง อาทิ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เสนอแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 เดือน ก.ย.2565
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเสนอการขยายระยะเวลาการพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19, ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง จะรายงานเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสำนักงานและศูนย์ปฏิบัติการด้านต่างๆ จะรายงานผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อที่ประชุม.-สำนักข่าวไทย